นักวิชาการดัง แฉเบื้องหลัง หลวงพี่ลี้ภัย มีนิสัยฝักใฝ่การเมืองรุนแรง

4163

พระหน้าด้าน!?! นักวิชาการดัง แฉเบื้องหลัง “หลวงพี่ลี้ภัย” มีนิสัยฝักใฝ่การเมืองรุนแรง ก่อนถูกขับไล่ออกจากวัด!!

จากกรณีที่ทางด้านของ “พระปัญญา สีสัน” พระสายการเมือง ที่มักร่วมวงปราศรัย ได้โพสต์ข้อความจาบจ้วงหมิ่นเหม่อย่างรุนแรง ส่งผลให้ถูกดำเนินคดี จนทำให้ทางด้านของ โบว์-ณัฏฐา ต้องออกมาตัวมาปกป้อง เพื่อให้ทางด้านของ พระปัญญา ได้ลี้ภัยไปที่ยุโรป

ล่าสุดทางด้านของ ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ นักวิชาการทางบูรพคดีศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความถึง ประเด็นของ พระปัญญา สีสัน พระแก๊งส้มผู้ลี้ภัย ในเชิงว่ารัฐบาลทำถูกแล้ว โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

รัฐบาลทำถูกแล้ว:
พระปัญญา สีสัน เคยอยู่วัดญาณสังวรารามซึ่งเป็นวัดที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวรทรงตั้งพระทัยสร้างให้เป็นวัดที่เน้นด้านวิปัสสนาธุระโดยเฉพาะ
ปัจจุบัน วัดญาณฯ มีพระสุปฏิปันโนที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นศิษย์ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้านั่นเอง สอนทั้งสมถะและวิปัสสนาอยู่ในวัดคือพระจุลนายก (พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต) ท่านบวชที่วัดบวรฯ ก่อนจะไปอยู่วัดญาณฯ และเคยไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาดกับหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโนหลายปี ท่านพูดภาษาอังกฤษได้คล่องจึงมีศิษยานุศิษย์จากหลายประเทศสนทนาธรรมกับท่านเป็นประจำ

ส่วนท่านเจ้าอาวาสคือพระโสภณคณาภรณ์ (ไชยวัฒน์ ชยวฑฺฒโน ป.ธ.๗) ผมเรียกท่านว่าหลวงพี่ไชยวัฒน์ เพราะสมัยหนึ่งเคยอยู่วัดบวรนิเวศวิหารด้วยกันและเคยเข้าสอบบาลีเปรียญ ๘ ประโยคด้วยกัน แต่ท่านมีนิสัยเอียงไปทางวิปัสสนาธุระ รักสงบ ศีลาจารวัตรงดงาม ไม่ได้ทุ่มให้กับการเรียนบาลีเต็มร้อย ภายหลังท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดญาณสังวรารามมาจนบัดนี้ เมื่อวานก็เพิ่งโทรศัพท์คุยกับท่าน
ส่วนพระปัญญา สีสันมีนิสัยชอบทางการเมือง ไปบวชอยู่วัดญาณฯ และได้ไป ร่วมชุมนุมประท้วงทางการเมืองหลายครั้ง จึงถูกทางวัดสั่งให้ย้ายสังกัดออกไปอยู่ที่อื่น (พูดภาษาชาวบ้านก็คือ *ไล่ออก*) ตั้งแต่ออกพรรษาที่ผ่านมาแล้ว ท่านไม่ได้เกียร์ว่างครับ

วัดแต่ละวัดนอกจากหลักพระธรรมวินัยซึ่งมีเหมือนกันแล้ว ต่างก็มีกฎเกณฑ์ หรือธรรมเนียมปลีกย่อยอื่นๆ ในรูปพระราชบัญญัติคณะสงฆ์บ้าง ประกาศคณะสงฆ์บ้าง ฯลฯ มิให้พระสงฆ์ไปร่วมชุมนุมประท้วงทางการเมือง เมื่ออยู่ในหลักวินัย ธรรมเนียมหรือกติกาวัดไม่ได้ก็ต้องถูกไล่ออกเป็นธรรมดา
รัฐบาลทำถูกแล้วครับที่ดำเนินคดีอย่างจริงจัง เป็นการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างถูกวิธี ในอดีต มีพระสงฆ์จำนวนมากไม่เคารพ หลักพระธรรมวินัยและธรรมเนียมสงฆ์ต่างๆ แต่หน้าด้านอยู่ในสมณเพศ แถมบางรูปมีลูกศิษย์ลูกหา ทั้งพระทั้งฆราวาสมาก เวลาเจ้าอาวาสหรือพระสังฆาธิการตักเตือนบ่อยๆ ก็ทำร้ายร่างกายเอาก็มี เจ้าอาวาสที่อายุมากจึงพากันกลัวถูกทำร้าย ก็เลยพากันไม่กล้าตักเตือน

การจัดการพระกระทำผิดพระวินัยซึ่งภาษาพระวินัยเรียกว่าพระประเภท *ทุมมังกุ* หรือพระหน้าด้านทั้งหลาย (แถมบางรูปมีลูกศิษย์ลูกหาเป็นบริวารมาก) จึงต้องขอให้ทางบ้านเมืองช่วยทำอย่างจริงจังจึงจะสำเร็จได้
สมัยสังคายนาครั้งที่ ๓ พระสงฆ์ฝ่ายธรรมวาทีและวินยวาทีพบว่ามีพระละเมิดพระวินัยเป็นอาจิณมาก ชี้แจงแล้วก็ทำหน้าด้าน ไม่สนใจ แถมมีสมัครพรรคพวกมากอีกต่างหาก พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต้องขอพึ่งพระบารมีพระเจ้าอโศกมหาราชจึงสามารถจัดการจับสึกพระหน้าด้านหน้าทนเหล่านี้ให้หมดไปจากสังฆมณฑลและทำสังคายนาพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์เหมือนเดิมได้