จากที่จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk ถึงการชุมนุมของคณะราษฎรที่ราชประสงค์ นั้น
ทั้งนี้นายจตุพร กล่าวช่วงหนึ่งไว้อย่างน่าสนใจว่า เป็นการต่อสู้ยืดเยื้อ เป็นสถานการณ์ต้องจับตา และเมื่อชนชั้นกลางออกมาชุมนุมจึงเป็นปรากฎการณ์มวยถูกคู่ในการต่อสู้กับรัฐบาลในขณะนี้ ซึ่งชุมนุมแบบไปกลับวันต่อวันที่ราชประสงค์นั้น เป็นการชุมนุมที่ถูกต้องในสถานการณ์ แต่สิ่งที่น่ากลัวของการชุมนุม คือ ไม่มีแกนนำม็อบ โดยกรณีศึกษาเมื่อ 18 พ.ค. 2535 เมื่อ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ถูกจับแล้ว การต่อสู้กระจายตัวแบบต่างคนต่างสู้ แล้วช่วงนั้นถูกลอบยิงตายมากที่สุด
“วันนี้ที่พูดไม่ได้เป็นชี้โพรงให้กระรอก แต่ให้สติคือ การพยายามกวาดต้อนตามจับแกนนำทีละคน จะนำไปสู่การสูญเสียมากมาย และเป็นการคิดผิดที่สุด กรณีชุมนุมราชประสงค์เมื่อวานนี้ (15 ต.ค.) คนมาร่วมเป็นฐานคนชั้นกลาง นักเรียน นิสิต นักศึกษามากที่สุด ซึ่งมีองค์ประกอบคล้ายกับการชุมนุมเมื่อพฤษภา 35 จึงเป็นมวยที่ถูกคู่กันอย่างยิ่ง”
นอกจากนี้ ประธานนปช. ยังกล่าวอีกว่า สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่สมควรใช้ พรก.ฉุกเฉิน มาแก้ปัญหาการชุมนุม ยังไม่ถึงเวลาใช้ความรุนแรงอีกทั้ง ยังไม่ถึงขั้นนายกรัฐมนตรี ต้องตื่นตระหนกนั่งรถหุ้มเกราะ และเอาทหารไปประจำทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา ซึ่งการทำขนาดนั้นสร้างเรื่องให้มากเกินเลยไป
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร กล่าวว่า สภาพประเทศไทย ควรเป็นมหาอำนาจในอาเซียน แต่การขาดเสถียรภาพทางการเมือง จึงทำให้ล้มลุกคลุกคลานจนทำให้เศรษฐกิจตามหลังในกลุ่มประเทศเดียวกัน ส่วนหนึ่งเมื่อขุนศึกจับมือกับนายทุนได้ มักเกิดการผูกขาดเศรษฐกิจ
ดังนั้น สิ่งที่ต้องจัดการมากที่สุด เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้ คือ ต้องจัดการกับเผด็จการเศรษฐกิจ และขจัดความเหลื่อมล้ำในประเทศ ซึ่งตนเชื่อว่าจะเป็นการเปลี่ยนอย่างแท้จริง
ที่มา : เฟซบุ๊ก PEACE NEWS