สถานการณ์สงครามยูเครนวันนี้ เผยโฉมอย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่ใช่สงครามรัสเซียสั่งสอนเพื่อนบ้านยูเครน แต่เป็นสงครามล้างอำนาจระหว่างมหาอำนาจกลุ่มเก่าคือสหรัฐฯและพันธมิตรตะวันตก กับรัสเซียและพันธมิตรตะวันออก นานาชาติต่างจับตาความเคลื่อนไหวของทั้งฝ่ายว่า จะเดิมพันชะตาโลกด้วยกลยุทธ์อะไร
ล่าสุดสหรัฐประกาศเตรียมกลับมาเปิดสถานทูตในกรุงเคียฟ,ยูเครน ซึ่งก่อนหน้านี้อังกฤษเปิดทำการก่อนไปแล้ว รวมทั้งเสนอชื่อเอกอัครราชทูตคนใหม่ ทั้งประกาศระดมพรรคพวก เชิญกว่า40ชาติประชุมในเยอรมนี หาทางช่วยยูเครนสู้รัสเซีย
การเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนยืนยันชัดว่า สหรัฐและนาโต้จะไม่ยอมจบสงครามตัวแทนรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งในที่สุดส่อเค้าลางต้องเผชิญหน้าในอนาเขตยุโรปอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง และปธน.ปูตินได้ออกมาแฉ ยุทธวิธีใหม่ของสหรัฐฯอย่างดุเดือดว่า เมื่อตะวันตกพ่ายในสนามรบและพลาดในสนามเศรษฐกิจ ไม่สามารถกดข่มทำลายรัสเซียได้ตามแผนการใหญ่ จึงเลือกใช้ยุทธวิธีก่อการร้ายเหมือนที่ทำในตะวันออกกลาง ซึ่งนับจากนี้รัสเซียจะตอบโต้กลับแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
วันที่ 25 เม.ย.2565 สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์และโกลบัลไทมส์ รายงานว่า ปธน.วลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียอธิบายว่าลำดับความสำคัญของประเทศตะวันตกตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ฟันธงว่าฝ่ายตะวันตกจะหันไปใช้ยุทธวิธี ‘ก่อการร้าย’ ต่อรัสเซียหนักหน่วงยิ่งขึ้น
ปูตินกล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า “ความพยายามที่จะ ทำลายรัสเซียจากภายในทางเศรษฐกิจล้มเหลว ทำให้ยูเครนและผู้สนับสนุนจากตะวันตกหันไปใช้มาตรการก่อการร้ายต่อรัสเซีย”
ปูตินกล่าวในการประชุมคณะกรรมการสำนักงานอัยการสูงสุด โดยสรุปในความเห็นของเขา ลำดับความสำคัญของยุโรปและสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับรัสเซียและการปฏิบัติการทางทหารในยูเครนได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างแรก เขากล่าวว่า ” นักการทูตระดับสูงในยุโรปและสหรัฐอเมริกาดำเนินการทูตที่แปลกประหลาด โดยเรียกร้องให้ยูเครนทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อชัยชนะในสนามรบโดยไม่เลือกวิธีการ”
ปธน.ปูตินอ้างถึงถ้อยแถลงที่มีการโต้เถียงกันเมื่อเร็วๆ นี้โดยนักการทูตระดับสูงของสหภาพยุโรป โจเซป บอร์เรลล์ ซึ่งหลังจากการไปเยือนเคียฟเขากล่าวว่า “ สงครามครั้งนี้จะต้องชนะในสนามรบ ” ในระหว่างการสนทนาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกับชาร์ลส์ มิเชล ประธานสภายุโรป ปธน.ปูตินชี้ไปที่แถลงการณ์ที่ขาดความรับผิดชอบของผู้แทนสหภาพยุโรปเกี่ยวกับความจำเป็นในการแก้ไขสถานการณ์ในยูเครนด้วยวิธีการทางทหาร พวกเขาไม่มีความตั้งใจในการสร้างสันติภาพแม้แต่น้อย
ในความเห็นของปูติน ฝ่ายตะวันตกได้เปลี่ยนเป้าหมายไปแล้ว ปูตินกล่าวว่า “เมื่อพวกเขาตระหนักว่า แผนการของเขาไม่ประสบผล พวกเขาจึงพยายามบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต่างออกไปแทน เพื่อแยกสังคมรัสเซียจากโลก ทำลายรัสเซียจากภายใน แต่รัสเซียตอบโต้กลับทำให้มีอุปสรรค สิ่งนี้ไม่ได้ผลเช่นกัน ”
ในความเห็นของปธน.ปูตินสังคมรัสเซียได้แสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การสนับสนุนกองทัพและความพยายาม เพื่อประกันความปลอดภัยสูงสุดของประเทศและประชาชนรัสเซีย และช่วยเหลือผู้คนที่อาศัยอยู่ในดอนบาสส์ (Donbass) อย่างแท้จริง”
หลังเกิด ‘ความล้มเหลว’ ในการโฆษณาชวนเชื่อในแวดวงสื่อ ชาติตะวันตกได้ใช้วิธีการก่อการร้าย เพื่อจัดการสังหารนักข่าวของรัสเซีย และบุคคลากรในกองทัพ
เขากล่าวถึงการประกาศเมื่อวันจันทร์โดย Federal Security Service (FSB) ของรัสเซียว่าได้ควบคุมตัวกลุ่มทหารหัวรุนแรง ที่ได้รับคำสั่งจากหน่วยงานความมั่นคงของยูเครน (SBU) ให้สังหารผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ชื่อดังของรัสเซียและนักข่าววลาดีมีร์ โซลอฟยอฟ( Vladimir Solovyov) แต่เคียฟปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งการ
ผู้นำรัสเซียกล่าวว่า “ในเรื่องนี้ ควรสังเกตว่าเรารู้จักชื่อของผู้ดูแลชาวตะวันตกทั้งหมด สมาชิกของหน่วยงานตะวันตกทั้งหมด โดยเฉพาะ CIA ซึ่งทำงานกับหน่วยงานด้านความปลอดภัยของยูเครน เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังให้คำแนะนำเช่นนี้กับยูเครน”“ นี่คือทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อสิทธิของนักข่าวในการเผยแพร่ข้อมูล นี่คือทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง”
ปธน.ปูตินกล่าวอย่างประชดประชันว่า “สิ่งที่พวกเขาสนใจคือสิทธิของตนเอง ความทะเยอทะยานของจักรวรรดิบางส่วน และคนอื่น ๆ ที่ยึดครองอดีตอาณานิคมของพวกเขาในแบบที่ล้าสมัย แต่สิ่งนี้จะใช้ไม่ได้ต่อรัสเซีย มันจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ”
ขณะที่เครมลินกล่าวหาตะวันตกว่าพยายามแบ่งแยกสังคมรัสเซีย ประเทศตะวันตกกล่าวหาว่ามอสโกปราบปรามฝ่ายค้าน สื่ออิสระ และแม้กระทั่งความขัดแย้งโดยทั่วไป การวิพากษ์วิจารณ์ลักษณะนี้ทวีความรุนแรงขึ้นหลังการโจมตีในยูเครนและมาตรการที่ตามมาของมอสโกว์คือการปราบปราม “ข่าวปลอม” และ “ตัวแทนต่างชาติ”ที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัสเซียผลิตเผยแพร่ข่าวปลอม
รัสเซียโจมตียูเครนเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากยูเครนฉีกสัญญาในการปฏิบัติตามข้อตกลงมินสค์ ซึ่งลงนามสัญญาสันติภาพครั้งแรกในปี 2014 และในที่สุดมอว์สโกว์ได้รับรองสาธารณรัฐโดเนตสก์และลูฮันสก์ อย่างเป็นทางการ
เครมลินได้เรียกร้องให้ยูเครนประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นประเทศที่เป็นกลางซึ่งจะไม่เข้าร่วมกลุ่มทหารนาโต้ที่นำโดยสหรัฐฯ แต่เคียฟบรรจุลงในเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญและปฏิเสธมาโดยตลอด ยืนยันว่า ไม่ได้วางแผนที่จะยึดครองสาธารณรัฐทั้งสองกลับคืนมาโดยใช้กำลัง แต่โจมตีบ่อนทำลายสองเมืองอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐและตะวันตก
การเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะสหรัฐและนาโต้บ่งบอกว่า สงครามยูเครนนอกจะไม่จบ ยังจะขยายวงและดุเดือดยืดเยื้อไม่ต่างจากสนามรบในตะวันออกกลาง สิ่งนี้ประเมินได้ว่ารัสเซียและพันธมิตรตะวันออกย่อมคาดการณ์ได้ล่วงหน้า คงต้องจับตาติดตามต่อไปว่า มหาอำนาจเก่าและพหุภาคีใหม่จะตอบโต้กันอย่างไร นับจากนี้ผลกระทบต่อคลื่นเศรษฐกิจทั่วโลก จะกลายเป็นสึนามิหรือไม่ ทุกประเทศไม่อาจประมา่ทต่อผลลัพท์ที่จะตามมาได้??