กัมมาลา แฮร์ริสจากพรรคเดโมแครต และไมค์ เพนซ์จากพรรครีพับลิกัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐได้โต้วาทีแสดงวิสัยทัศน์หรือดีเบตกันดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้เป็นดีเบตรองประธานาธิบดีที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ และคาดหวังเห็นแฮร์ริส แสดงบทบาทเชือดเฉือนผลงานปธน.ทรัมป์และเพนซ์ให้แหลกราญคาจอ แต่ผลกลับไม่ปังดังคาด เพราะไม่ได้มีอะไรใหม่กว่าเนื้อหาการรณรงค์ที่พูดถึงแล้วก่อนหน้านี้ และผู้ฟังต่างวิจารณ์ว่าผู้ดำเนินรายงานปล่อยให้สองคนพูดเกินเวลา บางครั้งนอกประเด็น
กัมมาลา แฮร์ริสจากพรรคเดโมแครต และไมค์ เพนซ์จากพรรครีพับลิกัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐได้โต้วาทีแสดงวิสัยทัศน์หรือดีเบตกันดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้เป็นดีเบตรองประธานาธิบดีที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ และคาดหวังเห็นแฮร์ริส แสดงบทบาทเชือดเฉือนผลงานปธน.ทรัมป์และเพนซ์ให้แหลกราญคาจอ แต่ผลกลับไม่ปังดังคาด เพราะไม่ได้มีอะไรใหม่กว่าเนื้อหาการรณรงค์ที่พูดถึงแล้วก่อนหน้านี้ และผู้ฟังต่างวิจารณ์ว่าผู้ดำเนินรายงานปล่อยให้สองคนพูดเกินเวลา บางครั้งนอกประเด็น ทำกองเชียร์ทั้งสองกร่อย
รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ จากพรรครีพับลิกัน และ สว.คามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต มีกำหนดขึ้นเวทีดีเบตซึ่งจัดขึ้นเพียงรอบเดียวในเวลา 19.00-20.30 น. วันที่ 7 ตุลาคม ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐ หรือตรงกับเวลา 08.00-09.30 น. วันที่ 8 ตุลาคม ตามเวลาในไทย ที่หอประชุมที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ เมืองซอลต์เลค ซิตี รัฐยูทาห์ โดยทั้งคู่จะดีเบตกันผ่านกระจกเพล็กซิกลาส เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อโควิด-19 หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยทั้งวุฒิสมาชิกแฮร์ริส วัย 55 ปี และรองประธานาธิบดีเพนซ์ วัย 61 ปี ต่างมีผลตรวจโควิด-19 เป็นลบเมื่อไม่กี่วันก่อน ขณะที่รองประธานาธิบดีเพนซ์ได้ทำงานจากบ้านตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากก่อนหน้านั้น มีเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวและสมาชิกพรรครีพับลิกัน จำนวนหนึ่ง รวมถึงวุฒิสมาชิกสหรัฐ 3 คน ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19
ที่ผ่านมาดีเบตของคู่ชิงรองประธานาธิบดีแทบไม่เคยได้รับความสนใจ แต่ปีนี้จะมีความสำคัญที่สุดนับตั้งแต่เริ่มจัดมาเมื่อ 40 ปีก่อน เพราะคู่ชิงประธานาธิบดีของทั้งสองพรรค คือ ประธานาธิบดีทรัมป์ วัย 74 ปี และนายโจ ไบเดน ที่จะมีอายุครบ 78 ปี ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ล้วนอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ ผู้ชนะเป็นรองประธานาธิบดีจึงมีโอกาสทำหน้าที่ประธานาธิบดี เพราะการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 25 ที่ได้รับสัตยาบันในปี 2510 เรื่องการสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีระบุไว้ว่า หากประธานาธิบดีถูกถอดถอนจากตำแหน่งเสียชีวิตหรือลาออก ให้รองประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งแทน
นักวิเคราะห์คาดแฮร์ริสโดดเด่น-จะแฉทรัมป์และเพนช์แหลกราญ
นักวิเคราะห์การเมืองเขียนนำร่องคาดการผลการปะทะของสองคู่แข่งรองประธานาธิบดีสหรัฐ ในนสพ.เดลีบีสต์ว่า แฮร์ริสจะสั่งสอนรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ให้รู้ว่า “อเมริกาเป็นนรกอย่างไร?”
ในอดีตคนอเมริกันไม่ค่อยรู้จักเพนซ์เขามาก่อนเป็นนักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์ขวาจัด ได้รับการเชิดชูและนิยมโดยคนที่มีความเชื่อและเป็นสาวกขวาจัดสุดโต่ง และมองว่าการดีเบต กัมมาลาแฮร์ริสจะต่อสู้กับเขาและคว่ำเขาลง เพื่อบันทึกผลงานน่าละอายที่ตรงข้าม กับคำพูดที่เขาเฝ้าพร่ำถึง ความเท่าเที่ยม ความยุติธรรมและความมั่งคั่ง มันไม่ใช่ผลงานล้มเหลวต่อปัญหาการระบาดไวรัส แต่การกระทำของเขามันคือการปฏิเสธสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เชื่อว่า การเผชิญหน้ากับแฮร์ริสเป็นเวลา 90 นาที จะทำลายทุกอย่างลง ด้วยข้อมูล การเตรียมตัวชั้นเยี่ยม มั่นใจ แฮร์ริสจะพวกความจริงอย่างมีพลัง และไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร การเปรียบเทียบวิสัยทัศน์ของเพนซ์และแฮริส ว่า “วิสัยทัศน์ของเพนซ์ เป็นไปเพื่ออดีตและวิสัยทัศน์ของแฮริสเป็นไปเพื่ออนาคต
-แฮร์ริสจะไม่ลังเลที่จะเปิดโปงการบริหารจัดการ กับการระบาดโควิด-19ที่ล้มเหลวของโดนัลด์ ทรัมป์และไมค์ เพนซ์ เช่นชาวลาตินโน, ครอบครัวผู้อพยพ และกลุ่มเพศทางเลือก (LGBTQ)ด้วยประสบการของการเป็นอัยการแห่งแคลิฟอร์เนีย แฮริสเป็นเครื่องมือที่จะใช้ต่อสู้เพื่อสิทธิเท่าเทียมในการแต่งงานและ เธอจะต่อสู้ต่อไปให้สิทธิของกลุ่มเพศทางเลือกในวุฒิสภา ในทางตรงข้ามเพนซ์กลับต่อต้านกลุ่มเพศทางเลือก กลายเป็นสัญญลักษณ์ต่อต้านการแต่งงานเพศเดียวกัน และผลักดันประเด็นคลาดเคลื่อนว่า การเป็นเกย์เป็น “ทางเลือก” หรือเป็นผลจาก “พฤติกรรมเลียนแบบ”
เรื่องนี้เผยแพร่อย่างเงียบๆในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งทรัมป์และเพนซ์แห่งทำเนียบขาว ผลักดันตัวแทนสายอนุรักษ์ขวาจัด แทน รูธ แบเดอร์ กินสเบิร์ก การเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความเท่าเทียมในการแต่งงานซึ่งเป็นประเด็นจริงจัง เช่นกรณีการที่ศาลยุติธรรมจะมีการทบทวน คดีโทมัสและซามูเอล อาลิโตเชื่อว่า ศาลกำลังจะทบทวน กฎหมายการแต่งงานอย่างถูกกฎหมายของเพศทางเลือก
-เพื่อชาวลาติโนและครอบครัวผู้อพยพ แฮริสเป็นสมาชิกวุฒิสภาคนแรกที่ต่อต้านคณะบริหารปธน.ทรัมป์ ในการแยกบุตรจากบิดามารดา และเป็นผู้นำนักล่าฝัน เธอเป็นคนผลักดันให้มีการตรวจเชื้อโควิด-19 ในหมู่ชาวลาติโน และครอบครัวผู้อพยพกลุ่มที่มีความเสี่ยงจะติดเชื้อ คนงานและชาวละติโนได้รับผลกระทบรุนแรงจากการระบาดไวรัสโควิด-19 กล่าวคือชาวลาติโนติดโควิดซ้ำถึง 3 ครั้ง และ 72 %ของครัวเรือนเผชิญปัญหาเศรษฐกิจหนัก
ตรงกันข้ามกับทีมบริหารของทรัมป์และเพนซ์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2015 ที่กดดันผู้อพยพเม็กซิโก ด้วยการข่มขืนและอาชญากรรม และมีนโยบายแบ่งแยก และเหยียดเชื้อชาติ สำหรับนโยบายของแฮร์ริสและไบเดน เสนอ “อะ เบคอน ออฟ ลีดเดอร์ชิพ” เสนอวิสัยทัศน์การฟื้นฟูหลังโควิด และนโยบายต่อผู้อพยพ การสนับสนุนผู้อพยพรวมทั้งกลุ่มคนลาติโน จะทำให้เกิดผลดีกับคนนับล้านในรัฐสวิงเสตท
ผลโพลตั้งแต่เดือนกรกฏาคม แสดงว่าได้รับการสนับสนุนจากผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงให้พรรคเดโมแครตสำหรับนโยบายส่งเสริมการได้เป็นประชาชนเต็มขั้นแก่นักล่าฝันทั้งหลาย และได้รับการสนับสนุนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งแถวชายแดน ผลโพลต้นฤดูร้อนที่ผ่านมา ในรัฐ 12 รัฐสวิงสเตท พบว่ายุุทธศาสตร์ต่อต้านผู้อพยพ ของทรัมป์และเพนซ์ล้มเหลว คนไม่สนับสนุน 51% ส่วน 43% สนับสนุน นั่นหมายถึงนโยบายต้านผู้อพยพกลายเป็นเหตุผลให้คนไม่ลงคะแนนให้ทรัมป์มากขึ้น
-แต่บางทีเหนือกว่าโพลหรือนโยบายทั้งหลาย ตัวแฮร์ริสเองต่างหากที่มีประสบการณ์โดยตรงในฐานะเป็นผู้หญิงอเมริกันผิวสีเชื้อสายเอเชีย ผู้ซึ่งเป็นบุตรสาวของผู้อพยพ ย่อมพูดได้เสียงดังที่สุด แฮร์ริสสามารถใช้เรื่องราวของเธอกดคะแนนนิยมของทรัมป์และเพนซ์ที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดที่ต่อต้านชุมชน ซึ่งเป็นการปฏิเสธความยุติธรรมและขาดพื้นฐานการปกป้องสิทธิมนุษยชน และความล้มเหลวในการเป็นผู้นำซึ่งสร้างพื้นฐานทางสังคมให้บิดเบี้ยว เผด็จการที่ใช้กฎหมายรับใช้ทางการเมือง เป็นวัฒนธรรมการทำงานของทรัมป์และเพนซ์ ซึ่งจะส่งกระทบกับความคิดของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และการจะตัดสินใจเลือกใครในเดือนพฤจิกายนที่จะมาถึง
แฮร์ริสจะเป็นตัวแทนเสียงของคนส่วนใหญ่นับล้าน ผู้ใช้แรงงาน และเพนซ์จะไม่สามารถหลบเลี่ยงการเผชิญความจริงได้ ไมค์ เพนซ์จะต้องตอบคำถามความโกลาหล การทุจริตคอรัปชั่นที่กลืนกินประเทศ และจะต้องเผชิญกับการสอบสวนสาธารณะ ชดใช้กับการที่เขาล้มเหลวในการเป็นผู้นำทั้งในชีวิตการทำงานและในชีวิตของตนเอง
การดีเบตเปิดประเด็นแรกเกี่ยวกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ซูซาน เพจกล่าวกับแฮร์ริสว่าโควิด-19 ยังไม่สามารถควบคุมได้ในขณะนี้ เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา และตั้งคำถามกับนางแฮร์ริสว่า เธอจะใช้มาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่เพื่อปิดธุรกิจและโรงเรียน รวมทั้งออกคำสั่งให้ประชาชนสวมหน้ากากหรือไม่
แฮร์ริสตอบคำถามดังกล่าวด้วยการโยงถึงประชาชนกว่า 210,000 คนที่เสียชีวิตจากโรคโควิด-19, ผู้ติดเชื้อกว่า 4 ล้านราย และประชาชนตกงานกว่าหลายล้านคน ได้หันไปกล่าวกับบรรดาผู้ที่กำลังชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ รู้ปัญหานี้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่ทำอะไรเลยและไม่บอกความจริงแก่คนอเมริกัน
“พวกเขารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาไม่ได้บอกพวกท่าน ท่านลองนึกภาพดูว่า หากท่านรู้ตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค. แทนที่จะเพิ่งรู้เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ท่านก็คงจะเตรียมตัวทัน … ชาวอเมริกันได้ร่วมกันเป็นพยานถึงความล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ชาติของเรา” แฮร์ริสยังกล่าวว่าหากมีวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ออกมาในช่วงที่คณะทำงานของปธน.ทรัมป์บริหารประเทศ ก็หมายความว่าวัคซีนดังกล่าวไม่ได้รับการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ แต่ถูกผลักดันโดยปธน.ทรัมป์ ซึ่งเธอจะไม่ยอมฉีดวัคซีนนั้น แต่หากผู้เชี่ยวชาญเช่น นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี ให้การรับรอง เธอก็จะฉีดวัคซีนนั้น
-เพนซ์พูดแทรกขึ้นมาว่า “การที่คุณบั่นทอนความเชื่อมั่นในวัคซีนเช่นนี้ ถือเป็นการกระทำที่ไม่อาจยอมรับได้” ซึ่งทำให้นางแฮร์ริสมีท่าทีไม่พอใจและพูดว่า “ท่านรองประธานาธิบดี ดิฉันกำลังพูดอยู่ค่ะ”แต่เพนซ์ไม่หยุดและกล่าวต่อไปว่า “คุณมีคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีนต้านโควิด-19 เพราะคุณรู้สึกว่าปธน.ทรัมป์ใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อเร่งการผลิตวัคซีน ผมอยากบอกคุณว่า “หยุดเล่นการเมืองกับชีวิตประชาชน”
เพนซ์ยังกล่าวด้วยว่า แผนการรับมือไวรัสโควิด-19 ของแฮร์ริสและโจ ไบเดนนั้น เหมือนฉีกออกมาจากแนวทางที่คณะบริหารของปธน.ทรัมป์กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน “แผนการของพวกคุณเหมือนกับการขโมยความคิดของคนอื่น และโจ ไบเดนก็มีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับการจัดการในเรื่องนี้” เพนซ์กล่าว
ผู้ดำเนินรายการถามเรื่องความพร้อมที่จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีทันทีที่ได้รับแจ้งหรือไม่
ทั้งเพนซ์และแฮร์ริสต่างเลี่ยงไม่ตอบคำถามนี้
ผู้ดำเนินรายการถามต่อเรื่องเศรษฐกิจว่า การขึ้นภาษีจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐตกอยู่ในความเสี่ยงหรือไม่
-แฮร์ริสอ้างว่า มีชาวอเมริกันยื่นขอสวัสดิการว่างงานแล้วกว่า 30 ล้านคน ไบเดนจะยกเลิกร่างกฎหมายที่เอื้อประโยชน์คนรวยที่มีเพียงร้อยละ 1 ในวันแรกที่เข้าบริหารประเทศ จะลงทุนในพลังงานสะอาด
-เพนซ์โต้ว่า วันหนึ่งไบเดนก็ต้องขึ้นภาษี รัฐบาลทรัมป์ทำให้คนกลับมามีงานทำแล้ว 11.6 ล้านคน แต่ไบเดนจะขึ้นภาษีและฝังเศรษฐกิจไว้ใต้ข้อตกลงสีเขียวที่จะทำให้คนตกงานจำนวนมาก ทำให้แฮร์ริสโต้ว่าไบเดนจะไม่ขึ้นภาษีกับผู้มีรายได้ไม่ถึงปีละ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 12.5 ล้านบาท)
ผู้ดำเนินรายการได้ถามเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายต่อจีน ผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่ ความยุติธรรมทางอาญาและสีผิว และการส่งมอบอำนาจหลังการเลือกตั้งและการตอบคำถามไม่ดุเดือดแหลมคมตามความคาดหวังของฝ่ายเชียร์เท่าไรนัก
การโต้วาทีหรือดีเบตระหว่างรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์จากพรรครีพับลิกัน และ ส.ว.คามาลา แฮร์ริสจากพรรคเดโมแครตบรรยากาศเป็นไปอย่างราบเรียบ มีการขัดจังหวะกันเล็กน้อย แต่ได้เนื้อหาสาระ ทั้งคู่ทำหน้าที่ปกป้องคู่ชิงประธานาธิบดีของตนอย่างเต็มที่ หลายคนมองว่าเธอปล่อยให้ผู้สมัครทั้งสองคนเลี่ยงคำถามและพูดเกินเวลาอย่างสบายเกินไป