ปัญหาชายแดนยูเครน-รัสเซีย กลายเป็นประเด็นร้อนที่โลกเฝ้าจับตาว่าจะคลี่คลายไปได้หรือไม่ เมื่อสหรัฐและนาโต ระดมกำลังซ้อมรบในยูเครน และลำเลียงขีปนาววุธเข้าพื้นที่ กองทหารยูเครนได้เคลื่อนพล 125,000 นาย เข้าใกล้ชายแดนประชิดรัสเซีย-เบลารุสด้วย ล่าสุดรัสเซียพยายามเปิดโต๊ะเจรจาแต่ยังไม่เป็นผล ขณะเดียวกันภายในเมืองหลวงยูเครนเกิดการประท้วงเรียกร้องให้ปธน.ยูเครนลาออก และต่อต้านการบังคับฉีดวัคซีน
วันที่ 2 ธ.ค.2564 สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์และยูเครน รายงานว่า เกิดการประท้วงเริ่มขึ้น นำโดยสมาชิกของพรรคชาตินิยมยูเครน ผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีเปโตร โปโรเชนโก และนักเคลื่อนไหวที่เป็นตัวแทนของเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและผู้ประกอบการ กล่าวกันว่ามีผู้คนเข้ารวมประมาณ 1,000 คนในเมืองหลวงของยูเครน เรียกร้องให้มีการฟ้องร้อง ปธน.เซเลนสกี้ และยุบสภาราดา(Rada) ซึ่งเป็นรัฐสภาแห่งชาติ
ผู้ประท้วงได้ถือป้ายประกาศ “ช่วยยูเครน – หยุดการทำรัฐประหาร”ในจัตุรัสไมดาน (Maidan) อันโด่งดัง ซึ่งเป็นที่ตั้งของการจลาจลในอดีตที่ขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประเทศ และเริ่มหันไปรับใช้สหรัฐและตะวันตกตั้งแต่ปี 2014
การเดินขบวนเริ่มประมาณ 9.00 น. โดยมีตำรวจวางกำลังใกล้อาคารรัฐสภา และยุติชุมนุมในเวลา 22.00 น. ผู้จัดงานประท้วงประกาศว่าจะมีการชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 12 ธ.ค.นี้
ต่อมาในวันนี้ วันที่ 3 พ.ย. มีการเดินขบวนในลักษณะเดียวกันในบริเวณเดียวกันของเมืองหลวงเพื่อต่อต้านนโยบายกักตัว และกฎการบังคับฉีดวัคซีนของยูเครน ซึ่งนักวิจารณ์กล่าวว่าไม่ได้ผลและทำให้ธุรกิจเสียหาย
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ปธน.เซเลนสกี ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้สังเกตการณ์นานาชาติหลายคน จากการปราบปรามสื่อวิพากษ์วิจารณ์และฝ่ายค้าน เมื่อต้นปีนี้ วิคเตอร์ เมดเวดชุก หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภาของประเทศ ถูกควบคุมตัวในข้อหาทรยศชาติ ช่องทีวี 112, NewsOne และ ZIK ถูกบล็อก และเว็บไซต์ยอดนิยม Strana เป็นภาษารัสเซียถูกแบน และนี่คือรัฐบาลที่สหรัฐฯสนับสนุน จึงไม่มีข้อคัดค้านจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนและสหรัฐว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนและไม่เป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด
ความขัดแย้งในภูมิภาคเริ่มต้นขึ้นหลังจากเหตุการณ์ของไมดาน (Maidan) ปี 2014 เมื่อการประท้วงบนท้องถนนที่มีความรุนแรงโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยซึ่งนิยมรัสเซีย ในที่สุดสิ่งนี้นำไปสู่ การที่สองสาธารณรัฐประกาศอิสรภาพ ได้แก่ โดเนตสค์ (DPR) และลูฮันสก์ (LPR)ซึ่งอยู่ในเขตดอนบาสและเป็นเชื้อไฟแห่งความขัดแย้งกับรัฐบาลกลางยูเครนยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้
ยูเครนเป็นเจ้าภาพการซ้อมรบทางทหารกับต่างประเทศเป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของ NATO ในปี 2564 กองกำลังติดอาวุธของประเทศได้ซ้อมรบกับทหารอเมริกัน โรมาเนีย โปแลนด์ และอังกฤษ นาโตยังได้ให้การสนับสนุนทั้งเงินและอาวุธแก่ยูเครน แม้ว่าประเทศจะอยู่นอกกลุ่มก็ตาม
ล่าสุด ที่กรุงสต็อกโฮม เมืองหลวงของประเทศสวีเดน รัสเซียพยายามเปิดโต๊ะเจรจากับสหรัฐฯเพื่อหยุดยั้งสงคราม ที่ไม่ก่อผลดีกับทุกฝ่าย เป็นที่น่าแปลกใจที่การประชุมของแต่ละฝ่ายไม่ราบรื่นเพราะไฟดับเป็นช่วงๆระหว่างการประชุมของสหรัฐกับยูเครน และรัสเซียกับองค์กรความร่วมมือยุโรปฯ
สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์รายงานผลการประชุมระหว่างนักการทูตสหรัฐฯ และยูเครนต้องตกอยู่ในความมืดมนเพราะไฟฟ้าดับ ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เริ่มพูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน เหตุการณ์ที่คล้ายกันเกิดขึ้นในภายหลังเมื่อตัวแทนของรัสเซียและองค์กรเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรปพูดคุยกันประเด็นยูเครน
แอนโทนี บลิงเคน (Antony Blinken)รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เริ่มพูดคุยกับ ดมิดทรี คูเลบา(Dmitry Kuleba) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศยูเครน ได้ข้อสรุปว่าจะเพิ่มการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย หากมอสโกไม่ยุติการซ้อมรบของทหารตามแนวชายแดนของประเทศกับยูเครน ในขณะที่เคียฟได้ร้องเรียนเกี่ยวกับการซ้อมรบทางทหารล่าสุดของรัสเซีย โดยอ้างว่ามีทหารราว 90,000 นายกำลังซ้อมรบใกล้ชายแดนของทั้งสองรัฐ
มอสโกโต้แย้งว่ามีสิทธิชอบธรรมที่จะส่งกำลังทหารไปประจำการภายในประเทศของตนได้ ในขณะที่ยูเครนก็ซ้อมรบกับสหรัฐและนาโต้ในเวลาใกล้เคียงกัน
เซอร์เกย์ ริบคอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย พูดในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ออกอากาศรายการทีวี ‘Big Game’ ของ Russian First Channel เน้นว่า“การติดต่อเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก และเราต้องประสบปัญหาทวีคูณ โดยไม่มีความก้าวหน้าในการเจรจาทวิภาคี ซึ่งสถานการณ์กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆในพื้นที่ อาจถึงขั้นวิกฤตเฉียบพลันในที่สุด”