หลังจากที่มีประเด็นจับตาถึงความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐเรื่อยมา ตั้งแต่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เรียก 6 กรรมการบริหารพรรคเข้าพบ และยืนยันจะไม่ปรับ ร.อ.ธรรมนัสออกจากเก้าอี้เลขาธิการพรรค
และต่อมาแหล่งข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ ส.ส.พปชร.บางส่วนเรียกร้องให้กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) โดยเฉพาะ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค , นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค และนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล แสดงจุดยืนทางการเมืองให้ชัดเจน ว่าจะไม่มีการเดินเกมทางการเมือง เพื่อต่อรองทางการเมือง และสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาในพรรคอีก เนื่องจากความขัดแย้งในพรรคที่ผ่านมาส่งผลให้ภาพลักษณ์ของพรรคตกต่ำเป็นอย่างมาก รวมทั้งยังมีประเด็นของการโหวตร่างกม. อีกหลายฉบับ ที่อาจจะเป็นการบีบให้นายกฯ ต้องลาออก หรือไม่ก็ยุบสภา ทำให้เห็นภาพความขัดแย้งภายในพรรคที่เริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ขณะที่เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2564 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาลและรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการกรรมการบริหาร “พรรคพลังประชารัฐ” ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิก”พรรคพลังประชารัฐ” อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรง
พร้อมด้วย ส.ส.จากพื้นที่กรุงเทพฯและสงขลา ร่วมเดินทางมายังสนามกีฬา L SOCCER PARK เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เพื่อเป็นประธานในการประชุมจัดตั้งสาขา “พรรคพลังประชารัฐ” สาขาภาคใต้ ในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก ที่ได้โยกย้ายสาขาภาคใต้ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.กระบี่ มายังจังหวัดนราธิวาส
ได้พบปะสมาชิกพรรคและกล่าวปราศรัย โดยมีนายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส พรรคพลังประชารัฐ เขต 2 และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ รวมทั้งพลังมวลชน ซึ่งประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำท้องถิ่นและพลังมวลชน จำนวนกว่า 500 คน คอยให้การต้อนรับ
โดยในระหว่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เดินขึ้นเวทีเพื่อกล่าวปราศรัยนั้น สมาชิกพรรคในแต่ละเขตและพลังมวลชน ได้พร้อมใจกันโบกธงสัญลักษณ์ของ”พรรคพลังประชารัฐ” เพื่อแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งน้ำใจเดียวกันในการต้อนรับ
พล.อ.ประวิตร กล่าวปราศรัยว่า ตนดีใจที่มีโอกาสมาพบปะสมาชิกพรรคและกลุ่มพลังมวลชน ท่านทั้งหลายมีความสำคัญในการเลือกตัวแทนของพรรคในแต่ละเขตลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และพร้อมใจการเลือกตัวแทนเพื่อเป็นปากเสียงไปนั่งในสภา เพื่อผลักดันนโยบายกลไกต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน
และได้พูดกับสมาชิกพรรคพลังประชารัฐว่า ทุกคนรับปากได้มั้ยว่าจะเลือก ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ แบบยกทีมทุกเขตใน จ.นราธิวาส เข้าไปนั่งในสภา ซึ่งพล.อ.ประวิตร ได้พูดประโยคนี้ย้ำ 2 ถึง 3ครั้ง โดยสมาชิกพรรคและพลังมวลชน ต่างได้ตะโกนดังกึกก้องรับปากกับ พล.อ.ประวิตร ว่าได้ ๆ
ส่วน นายวิรัช รัตนเศรษฐ์ ประธานวิปรัฐบาล และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ขึ้นกล่าวพบปะสมาชิกพรรค ในช่วงเพียงเวลาอันสั้น ว่า สมาชิกพรรคและพลังมวลชนอย่าลืมคำ มั่นสัญญา ที่จะเลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จ.นราธิวาส ของพรรคพลังประชารัฐแบบยกทีมทุกเขต เราทุกคนต้องเลือกโดยไม่ต้องแบ่งปัน ส.ส.ให้กับพรรคใด ๆ ตนรู้สึกดีใจและรู้สึกอบอุ่นที่ทุกคนให้การต้อนรับ
ขณะที่ทางด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยว่า ตนมาในครั้งนี้ถือว่ามาพบปะกับสมาชิกในครอบครัว สมัยตนเป็น รมช.เกษตรฯได้ตั้งรูปแบบการพัฒนา จ.นราธิวาสไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งการเลือกตั้งในสมัยต่อไป ตนจะพัฒนา จ.นราธิวาส ให้มีความเจริญเทียบเท่าจังหวัดอื่น ๆ ถึงเวลาแล้วครอบครัว “พรรคพลังประชารัฐ” ต้องร่วมใจกันลงคะแนะเสียงให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.สังกัดพรรคพลังประชารัฐให้ได้มาทุกเขต
ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า นายอามีร ซารีคาน ซึ่งเป็นนักธุรกิจคนหนึ่งในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จะเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสังกัด”พรรคพลังประชารัฐ” เขต 4 ส่วนนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สมาชิกสภา อบจ.นราธิวาส ซึ่งเป็นน้องชายของนายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นราธิวาส พรรคพลังประชารัฐ เขต 2
และก่อนเดินทางกลับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตอบข้อซักถามเพียงสั้น ๆ ถึงกรณีการจัดสรรบุคคลส่งสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.นราธิวาส สังกัด “พรรคพลังประชารัฐ” ในเขตละเขต ว่า ตนได้มอบหมายให้นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส พรรคพลังประชารัฐ เขต 2 กับนายกูเซ็ง. ยาวอหะซัน นายก อบจ.นราธิวาส เป็นผู้รับผิดชอบ โดยที่ยังไม่มีการเปิดตัวผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งการเลือกตั้งในสมัยที่จะถึงนี้ ตนมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่าจะกวาดเก้าอี้ทุกเขตใน จ.นราธิวาส
อย่างไรก็ตามจึงทำให้น่าจับตามองว่า การลงพื้นที่นราธิวาสในครั้งนี้ จะเป็นการวัดพลังฐานเสียงในภาคใต้ และยังเป็นการเพิ่มฐานมั่นที่ใหม่ของพรรคพลังประชารัฐด้วย