แฉปม “พรรคการเมือง” หนุนแก้ม.112 หากใช้เป็นบ่อนทำลายสถาบัน ขัดรธน.ต้องถูกยุบ?
จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (1 พฤศจิกายน 2564) นายชัยเกษม นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง ของพรรคเพื่อไทย ได้ประกาศยืนยันเจตนารมณ์พร้อมนำข้อเสนอแก้ไข ป.อาญามาตรา 112 และ 116 เข้าสู่วาระการประชุมรัฐสภา
ล่าสุดทางด้าน นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวว่า การสร้างองค์กรจัดตั้งมวลชนขึ้นมาเพื่อแจ้งข้อหามาตรา 112 แก่ผู้ที่เห็นต่างกับรัฐบาล
เป็นอันตรายยิ่งกว่าขบวนล้มเจ้า!!!
1ถ้าการแก้ไขมาตรา 112 เป็นไปเพื่อป้องกันการกระทำลักษณะนี้ ก็จะเป็นผลดีต่อสถาบัน ไม่ให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และสร้างศัตรูให้กับสถาบันดังที่เป็นอยู่!!!
2แต่ถ้าการยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 เป็นไปเพื่อให้มีการเหยียบย่ำบ่อนทำลายสถาบันได้ตามอำเภอใจ ย่อมเป็นปรปักษ์กับรัฐธรรมนูญ!!
ถ้าเป็นพรรคการเมืองก็ต้องถูกยุบพรรค!!! รอให้พรรคการเมืองเปิดตัวร่างกฎหมายเรื่องนี้ให้ชัดแล้วค่อยจัดการทีเดียวก็ไม่สาย!!!!
ในขณะที่ทางด้าน ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความหัวข้อ ม.112 กับเกมการเมืองของคนหนักแผ่นดิน โดยระบุว่า
ม.112 สามารถยกเลิกได้เหมือนกับในบางประเทศ ก็ต่อเมื่อกฎหมายไม่มีการใช้งานเป็นระยะเวลานานๆ เพราะผู้คนมีความเจริญถึงขั้นที่ไม่มีใครทำผิดกฎหมาย จนในท้ายที่สุดไม่มีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายนั้นไปเองโดยธรรมชาติ ดังนั้นการสนับสนุนให้ยกเลิก ม.112 ที่แท้จริง คือ การไม่ทำผิด ม.112 เพื่อให้ ม.112 สูญหายไปเองตามกาลเวลา
แต่ทุกวันนี้ประเทศไทยยังมีคนหนักแผ่นดินกลุ่มหนึ่งคอยสร้างเงื่อนไขของความจำเป็นที่ยังต้องมี ม.112 อยู่ ซึ่งคนหนักแผ่นดินกลุ่มนี้กำเริบเสิบสาน ยุยงปลุกปั่นให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสถาบันพระมหากษัตริย์กันเป็นว่าเล่น กล้าบิดเบือนให้ร้าย หวังบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ตลอดจนปั่นกระแสโซเชียลมีเดียบิดเบือนหลอกใช้ผู้อื่นโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน เป็นเครื่องมือในการทำผิดติดคุกตะรางแทนตัวเอง ยกตัวอย่าง เช่น นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่คอยระมัดระวังตัวไม่ให้ตัวเองทำผิด ม.112 แต่กลับยุยงปลุกปั่นหลอกใช้ให้ผู้อื่นทำผิด ม.112 แทนตัวเอง
โดยในปัจจุบัน “การติดคุกด้วยความผิด ม.112” เป็นการให้ข้อมูลเท็จ จากการบิดเบือนของสื่อที่ไร้จรรยาบรรณในสังคมไทย เพราะศาลยังไม่ได้มีการตัดสินผู้ที่ถูกดำเนินคดี ม.112 แม้แต่รายเดียว และการติดคุกของผู้ที่ถูกดำเนินคดี ม.112 มีสาเหตุที่แท้จริงมาจากการที่ศาลเคยให้ประกันตัวแล้ว แต่ผู้ต้องหากลับก่อเหตุซ้ำซากในลักษณะเดียวกัน จนศาลมองว่าเป็นการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายโดยปราศจากความเคารพยำเกรงต่อกฎหมาย ศาลจึงไม่อนุญาตให้ประกันตัวอีก ดังนั้นการติดคุกของแกนนำม็อบสามนิ้วจึงมาจากการก่อเหตุซ้ำซาก จนถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมอีกหลายครั้งหลายหน ไม่ใช่จากการถูกจำคุกเนื่องจากถูกตัดสินว่ามีความผิดใน ม.112 ตามที่มีการบิดเบือนจากสื่อไร้จรรยาบรรณให้เกิดความเข้าใจผิดแต่อย่างใด
การโจมตี ม.112 จึงเป็นเพียงแค่เกมการเมืองของคนหนักแผ่นดิน พรรคการเมืองกับคณะการเมืองหนักแผ่นดินกลุ่มหนึ่งต้องการบ่อนทำลายความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นบันไดก้าวแรกไปสู่การล้มล้างการปกครองเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ ในขณะที่อีกพรรคการเมืองหนักแผ่นดินหนึ่งต้องการจับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นตัวประกัน เพื่อต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองอย่างน่ารังเกียจ
พรรคการเมืองหนักแผ่นดินที่โจมตี ม.112 จึงไม่ใช่พรรคการเมืองของประชาชน โดดเดี่ยวจากประชาชน เฉไปทำสิ่งที่ประชาชนไม่ได้ต้องการ มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและกัดเซาะความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ วุ่นวายกับการแก้ไข ม.112 เพื่อผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งของคนเพียงแค่หยิบมือ อีกทั้งยังคอยให้การสนับสนุนม็อบอันธพาลป่วนเมืองอยู่ตลอด ที่เห็นได้ชัดเจนคือ การใช้ตำแหน่ง ส.ส. ช่วยประกันตัวผู้ต้องหาอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆที่ม็อบสร้างสถานการณ์ความรุนแรง มีความพยายามอย่างชัดเจนในการก่อจลาจล และสร้างความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน
พรรคการเมืองหนักแผ่นดินเหล่านี้จึงไม่ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาความเป็นเผด็จการของนักธุรกิจการเมืองในระบอบการปกครอง ซึ่งคอยขัดขวางการสร้างประชาธิปไตยและทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง แต่กลับใช้ ม.112 เป็นเกมและข้ออ้างต่างๆทางการเมืองอย่างสกปรกโสมม อีกทั้งยังมีการใช้ตำแหน่ง ส.ส.ไปประกันตัวผู้ต้องหาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นรูปธรรมของเผด็จการเสียเอง เพราะพรรคการเมืองหนักแผ่นดินเหล่านี้ประกันตัวแต่ผู้ต้องหาที่เป็นกลุ่มก้อนในขบวนการเดียวกันเท่านั้น ไม่ได้สนใจประโยชน์สุขของประชาชน และความสงบสุขของสังคมแต่อย่างใด
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พรรคการเมืองหนักแผ่นดินเหล่านี้จึงไม่ต่างจากพรรคการเมืองกบฏ ซึ่งเคลื่อนไหวประสานกับม็อบสามนิ้วก่อจลาจลในแนวทางรุนแรงที่ป่าเถื่อนอนาธิปไตย ด้วยการแอบอ้างคำว่า “ประชาชน” แต่ก็ไม่ได้รับใช้ประชาชน หากแต่รับใช้ลัทธิความเชื่อและผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มการเมืองของตน อีกทั้งยังแอบอ้างคำว่า “ประชาธิปไตย” แต่กลับสนใจแต่ความต้องการอันคับแคบและประโยชน์ของคนส่วนน้อย แล้วกลายเป็นเผด็จการที่ชั่วร้ายที่สุดเสียเอง ตลอดจนไม่เคยฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชน และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการกบฏป่วนชาติในรัฐสภาร่วมม็อบอนาธิปไตยนอกรัฐสภาอย่างบัดซบที่สุด