จีนแซงสหรัฐฯ!?! การลงทุนตรงจากต่างประเทศ 9 เดือนเพิ่ม 4.4 ล้านล้านบ.

1067

เมื่อวันที่  20 ต.ค.2564 สำนักข่าวซินหัวและไชน่าเดลี(Xinhua, Chinadaily) รายงานถึง กระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้เปิดเผยข้อมูลว่า มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment-FDI) ในจีน ระยะเวลาม.ค.-ก.ย.2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 เมื่อเปรียบเทียบกับห้วงเวลาเดียวกันของปี 2563 ที่สำคัญ คือ การลงทุนในภาคบริการ และอุตสาหกรรมขั้นสูงในจีน ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.5 และ 29.1 ตามลำดับ ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศที่อยู่ตามเส้นทางโครงการแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative-BRI) มีการลงทุนในจีนเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 31.4 และ 31.9 ตามลำดับ

ในช่วงเดือนม.ค.-ก.ย.2564  การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ไม่ใช่การเงินเข้าประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 859.5 พันล้านหยวน ในแง่ดอลลาร์สหรัฐฯ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในจีนแผ่นดินใหญ่มีมูลค่ารวม 129.3 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ(43,178 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 25.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี

ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้าสู่ภาคบริการเพิ่มขึ้น 22.5% ในรูปหยวน ขณะที่อุตสาหกรรมไฮเทคเห็นว่ากระแส FDI เพิ่มขึ้น 29.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี

ในเชิงภาพรวมแล้ว นักวิชาการทั่วโลกคาดการณ์ไว้ว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ประเทศจีน จะขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 1ของประเทศมหาอำนาจของโลกในทุกด้าน ทั้งด้านบทบาทการเมืองระดับโลก มหาอำนาจทางการทหาร และมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ จีนจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ด้วยซ้ำไป

จากข้อมูลการประชุม สหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ UNCTAD ตอนต้นปี ได้มีการเปิดเผยรายงานเกี่ยวกับการลงทุนโลกประจำปี 2020 ซึ่งพบว่าจีนมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (FDI) ไหลเข้าประเทศทั้งหมด 163,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่สหรัฐฯ อยู่ที่เพียง 134,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ปี 2020 FDI ของจีนแซงหน้าสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก ในขณะที่ปี 2019 ก่อนหน้า FDI ของสหรัฐฯ มาเป็นที่หนึ่งที่ 251,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนจีนตามมาเป็นที่สองที่ 140,000 ดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ UNCTAD ยังพบว่า ปริมาณเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ในปี 2020ของทั่วโลกหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากการเผชิญหน้ากับวิกฤติการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้หลายประเทศทั่วโลกทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ต่างระงับหรือชะลอการลงทุน โดยในปี 2020 ปริมาณ FDI ลดลง 42% มาอยู่ที่ 859,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังลดลงถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤติการเงินในปี 2009 ซึ่ง FDI ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเป็นเงินลงทุนที่ประเทศหนึ่งๆ ได้รับจากนักลงทุน หรือกิจการห้างร้านจากต่างประเทศ เช่น การก่อสร้างโรงงาน หรือเปิดสำนักงาน

ทั้งนี้ UNCTAD ระบุว่าบรรดาประเทศพัฒนาแล้วได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าปีก่อนหน้า และมากกว่าประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย อีกทั้ง FDI ในสหรัฐฯ ยังลดลงมากถึง 49% น้อยกว่าค่าเฉลี่ย FDI ของประเทศพัฒนาแล้วอื่นด้วย ขณะที่ FDI ของประเทศกำลังพัฒนาก็ปรับตัวลดลงเช่นกันที่ 12% ซึ่งจีนก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเพียงแต่จีนกลับมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น 4% ส่วนภูมิภาคยุโรป FDIของสหภาพยุโรปปรับตัวลดลงถึง 2 ใน 3

สำหรับเหตุผลหลักที่ทำให้ FDI ไหลเข้าจีน แม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤติการระบาดของโรคโควิด-19ก็คือการที่จีนสามารถจำกัด และควบคุมการระบาดได้อย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่มีจำนวนประชากรน้อยกว่า โดยจีนมีรายงานพบผู้ติดเชื้อไม่ถึง 100,000 คน เสียชีวิตจากโควิด-19 ราว 4,800 คน ขณะที่สหรัฐฯ มีรายงานผู้ติดเชื้อเกือบ 25 ล้านคน (ณ วันที่ 25 ม.ค. 2021) เสียชีวิตแล้วกว่า 400,000 คน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า FDI ของจีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ แต่หากพิจารณาเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้น พบว่าการลงทุนของต่างชาติในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมากกว่าจีน แต่การขยายตัวเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวมจีนมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าสหรัฐฯ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพีของจีนปี 2020 ขยายตัวเติบโตได้ถึง 2.3% ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าจีนน่าจะเป็นประเทศเศรษฐกิจชั้นนำประเทศเดียวที่เห็นการเติบโตอยู่ในแดนบวก ทั้งปี 2020 และ 2021

แม้ว่าสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีนจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่บริษัทตะวันตกอีกหลายแห่งก็เลือกที่จะดำเนินธุรกิจในจีนมากยิ่งขึ้น โดยในเดือนธันวาคมปี 2563 ที่ผ่านมา Goldman Sachs ธนาคารเพื่อการลงทุนรายใหญ่ระดับโลก ตัดสินใจเข้าซื้อบริษัทร่วมลงทุนสัญชาติจีน เช่นเดียวกับที่ JPMorgan บริษัทผู้ให้บริการทางการเงินและการลงทุน ได้ทำในเดือนพฤศจิกายน 2563 ไม่เพียงเท่านี้ Tesla บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ยังได้เพิ่มมูลค่าการลงทุนในจีนตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 ขณะที่ PepsiCo ได้เข้าซื้อแบรนด์ขนมสัญชาติจีนที่มูลค่า 705 ล้านเหรียญ

ตามรายงานการลงทุนโลกของอังค์ถัดปี 2564, FDI ไหลเข้าสู่สหรัฐฯ ลดลง 40% จาก 261 พันล้านดอลลาร์ในปี 2019 เป็น 156 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของกำไรที่นำกลับมาลงทุนใหม่ สต็อก FDI ของสหรัฐในปี 2020 สูงถึง 10,802 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การไหลเข้าของ FDI ลดลงอย่างมากในด้านการเงิน (-45%) และการค้าส่ง (-87%) ในขณะที่เพิ่มขึ้นในด้านเคมีภัณฑ์ (22%) การลงทุนของบริษัทข้ามชาติในยุโรปลดลง 15% และการลงทุนจากเอเชียลดลง 53 % ผลกำไรของบริษัทที่ลดลงส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไรที่นำกลับมาลงทุนใหม่ ซึ่งลดลงเหลือ 71 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ – ลดลง 44% จากปี 2019