โลกผวา?? เมกาเบี้ยวหนี้ หวั่นเศรษฐกิจล่ม!!

1936

ดูว่าใครบ้างเป็นเจ้าหนี้สหรัฐอเมริกาในต่างประเทศ

จากข้อมูลของ Federal Reserve และกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ต่างประเทศถือครองหลักทรัพย์ซื้อคืนของสหรัฐฯ มูลค่ารวม 7.03 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 จากจำนวนทั้งหมด 7.2 ล้านล้านดอลลาร์ที่ถือโดยต่างประเทศ ญี่ปุ่นและจีนแผ่นดินใหญ่ถือครองหุ้นรายใหญ่ที่สุด ญี่ปุ่นถือครอง 1.28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่จีนถือครองหลักทรัพย์สหรัฐ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ  ผู้ถือต่างชาติอื่น ๆ ได้แก่ ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและศูนย์กลางการธนาคารในแคริบเบียน

สำหรับประเทศไทยข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงการคลังสหรัฐ เดือนกรกฎาคม 2564 ถือครองหลักทรัพย์สหรัฐเป็นอันดับที่ 24 มูลค่า 57.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐคิดเป็นเงินไทยประมาณ 193,000 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้จีนถือครองหลักทรัพย์สหรัฐเป็นอันดับหนึ่ง แต่ได้ทะยอยเทขายออกในช่วงไตรมาสสองของปีนี้หลังจาก สหรัฐและพันธมิตรประกาศต่อต้านอิทธิพลจีนอย่างเข้มข้นในทุกภูมิภาคของโลก

ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 ญี่ปุ่นถือหลักทรัพย์ธนารักษ์ของสหรัฐเป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 1.28 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ในปี 2563 สหรัฐอเมริกามีหนี้สาธารณะรวมทั้งสิ้น26.95 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2551 

เมื่อวันพฤหัสที่ 7 ต.ค. 2564 วุฒิสภาสหรัฐฯยอมประนีประนอม ผ่านกฎหมายเพิ่มเพดานกู้ยืมหนี้ของรัฐบาลอีก 480,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยเท่ากับ 162.18 ล้านล้านบาท จากเดิมซึ่งพรรคเดโมแครตตั้งไว้ที่ 28.4 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,000 ล้านล้านบาท ทำให้มีเวลาหายใจได้อีก จนถึงการพิจารณาครั้งต่อไปในวันที่ 3 ธ.ค.ที่จะมาถึง แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ได้แก้ปัญหาหมักหมมที่เป็นจริงว่า สหรัฐยังคงหนี้ท่วม อัตราเงินเฟ้อสูงทั้งปีถึง 5.4% ยังไม่ลด ขณะที่การจ้างงานนอกภาคเกษตรยังไม่ขยับ  ความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นแต่คนมาทำงานจริงน้อยกว่าที่คาดการณ์ ปัญหาวิกฤตห่วงโซ่การผลิต หรือซัพพลายเชนยังแก้ไม่ตก คือเริ่มผลิตแต่การขนส่งเดี้ยง

จะเห็นว่า เศรษฐกิจจริงของสหรัฐไม่ได้แข็งแกร่งตามคำโฆษณาชวนเชื่อเลยแม้แต่น้อย ถ้าสหรัฐอเมริกาเบี้ยวหนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจโลก

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา การเงินและงบประมาณแห่งชาติของสหรัฐ ได้กลายเป็นความตึงเครียดอันดับหนึ่ง ทั้งทำเนียบขาวและรัฐสภาฯของสหรัฐ และรวมทั้งทั่วโลก ถือว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นเร่งด่วนที่สุด เพราะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในฐานะที่สหรัฐมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ1 ของโลก

ทำไมเรื่องนี้จึงเป็นเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด คำตอบคือหากควบคุมการเงินของสหรัฐอเมริกาไม่ได้ ผลกระทบทั่วโลกจะถึงขั้นระบบการเงินล้มอย่างเฉียบพลัน  เนื่องจากภาระหนี้ของอเมริกามีมาก ค่าใช้จ่ายสูง เงินคงคลังถังแตก  หากรัฐสภาฯไม่อนุญาตให้เพิ่มปริมาณการกู้ได้อีก กระทรวงการคลังจะไม่สามารถชำระหนี้ และรัฐบาลจะไม่มีเงินบริหาร ส่งผลให้ส่วนราชการต่างๆเป็นอัมพาต

แล้วทำไมความมั่นคงของระบบการเงินในอเมริกาจึงเกี่ยวข้องกับทั้งโลก 

คำตอบคือเริ่มตั้งแต่ปีค.ศ.1944 เมื่อมีท่าทีว่าสงครามโลกครั้งที่สองกำลังสิ้นสุด ผู้แทนกว่า 700 คน จาก 44 ประเทศ มาประชุมร่วมกันที่โรงแรม Mount Washington เมือง Bretton Woods, New Hampshire เพื่อหาวิธีจัดระบบการเงิน ฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก สหรัฐฯในฐานะเป็นผู้นำทางการทหาร และมีความบอบช้ำน้อยที่สุด แถมยังมีทองคำสะสมไว้มากที่สุดในช่วงเวลานั้น  จึงได้รับสิทธิพิเศษจากนานาชาติ ให้เงินอเมริกันดอลล่าร์เป็นเงินสกุลตราหลัก และมีการก่อตั้ง World Bank และ IMFขึ้น 

สมาชิกขององค์กรเหล่านี้ บ้างตกลงด้วยความเต็มใจ บ้างจำยอมเพราะไม่มีทางเลือกอื่น ให้อเมริกาเป็นเสมือนผู้จัดการใหญ่ ชี้นำนโยบายและตั้งกฎเกณฑ์สำคัญต่างๆ จึงทำให้อิทธิพลของเงินสกุลอเมริกันดอลล่าร์ครอบคลุมไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน การซื้อขายน้ำมันซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตสำคัญต้องใช้สกุลดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น และสหรัฐสามารถพิมพ์เงินโดยไม่ต้องมีทองคำค้ำประกันได้

สถานการณ์ที่ผ่านไปอย่างหวุดหวิดสัปดาห์นี้ เป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซื้อเวลา แต่ความเสี่ยงที่จะมาถึงเดือนธันวาคมนี้ ขึ้นอยู่กับการหาทางออกร่วมมือกันระหว่างสองพรรคการเมืองใหญ่ ยังน่าเป็นห่วงเพราะความขัดแย้งในอเมริกายุคนี้รุนแรงขึ้นทุกวัน และอาจกลายเป็นความแตกร้าวที่ยากจะประสาน

ถ้ารัฐสภาสหรัฐตกลงกันไม่ได้ และไม่เพิ่มเพดานการกู้ยืมเงินให้ครบวงที่เดโมแครตต้องการ  เจ้าหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศก็จะไม่ได้รับเงินตามที่ตกลงไว้ เครดิตของสหรัฐจะตก หมายถึงอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น หนี้ที่ชำระไม่ได้อยู่แล้ว ก็จะยิ่งหนักเข้าไปอีก

ปัจจุบันมีรัฐบาลอเมริกันเป็นหนี้ตัวเลขล่าสุด 28.8 ล้านล้านดอลลาร์ (เจ้าหนี้ต่างประเทศ 7.62 ล้านล้านดอลลาร์) ล่าสุดเฉลี่ยต่อประชากรหนึ่งคน 86,688 ดอลลาร์  เงินที่จะมาชำระหนี้ก็มาจากภาษี ปัจจุบันเก็บภาษีได้ปีละ 3.87 ล้านล้านดอลลาร์  หรือภาษีต่อประชากร 11,638 ดอลลาร์ ข้อมูลจาก https://www.usdebtclock.org/# 

ฉะนั้นโอกาสที่จะจ่ายหนี้ครบถ้วน ตามตัวเลขปัจจุบันจึงเป็นไปไม่ได้เลย และจะต้องมีอะไรในอเมริกาที่ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างมากแน่นอน มิฉะนั้นอเมริกาจะล้ม และกลายเป็นไวรัสที่จะทำลายเศรษฐกิจทั่วโลก