จีนสั่งปิดแล้ว “หอการค้าอเมริกัน” ในนครเฉิงตู?!? หลังปิดสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ มานาน 1 ปี

1514

สหรัฐอเมริกามีสำนักงานหอการค้า 5 แห่งและคณะทำงาน30 กลุ่ม ในประเทศจีน การปิดกิจการเกิดขึ้นในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงคุกรุ่น สงครามการค้าและข้อพิพาทด้านสิทธิมนุษยชนที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ที่ยืนกรานที่จะสอบสวนเพิ่มเติมถึงต้นกำเนิดของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยพุ่งเป้ามาที่จีน ได้เพิ่มความตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจมากขึ้นไปอีก

เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2564 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงาน ว่า ทางการจีนสั่งปิดหอการค้าสหรัฐอเมริกาในจีนตะวันตกเฉียงใต้ (American Chamber of Commerce in Southwest China:AmCham) ในนครเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน

หอการค้าอเมริกันฯ แจ้งสมาชิกหอการค้าฯ ว่า ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับของจีน หอการค้าฯ ต้องหยุดดำเนินการและ “ไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ในนามของหอการค้าสหรัฐอเมริกันในจีนตะวันตกเฉียงใต้อีกต่อไป” โดยไม่ได้ระบุเหตุผลที่ชัดเจน และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ AmCham ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนหยุดทำงาน

นายเบนจามิน หวัง(Benjamin Wang) ประธานหอการค้าอเมริกันฯ เปิดเผยว่า หอการค้าฯ อยู่ระหว่างหารือกับทางการจีนเกี่ยวกับการจดทะเบียนหอการค้าฯ และทิศทางต่อไปในอนาคต

นายเบนจามินฯ ระบุว่า ดูว่าเหมือนสำนักงานกิจการพลเรือนของจีนกำลังบังคับใช้ข้อบังคับที่กำหนดให้แต่ละประเทศจะมีผู้แทนหอการค้าฯ ในจีนได้เพียงคนเดียว

รายงานระบุว่า หอการค้าฯ ไม่ได้เป็นสาขาหรือส่วนหนึ่งของหอการค้าอเมริกันในจีน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงปักกิ่ง และมีสาขา 5 แห่งในจีน

เมื่อเดือน ก.ค. 2563 จีนสั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐฯ ในเฉิงตู เพื่อตอบโต้กรณีสถานกงสุลจีนในเมืองฮุสตันถูกปิด

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เรียกร้องให้จีนทำงานร่วมกับหอการค้าฯ เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการจดทะเบียนและการดำเนินการในอนาคต โดยเสริมว่าสหรัฐฯ ไม่ทราบถึงความเชื่อมโยงใดๆ กับการปิดสถานกงสุลฯ

เจ้าหน้าที่กล่าวว่า“การปิดบัญชีครั้งนี้เป็นเพียงตัวอย่างล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่โปร่งใสและตามอำเภอใจของจีนมีส่วนทำให้เกิดบรรยากาศการลงทุนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อธุรกิจต่างชาติมากขึ้น” 

สหรัฐฯอาจลืมไปว่าทั้งหมดนี้เป็นมาตรการตอบโต้ที่จีนใช้กับ การที่สหรัฐคว่ำบาตรบุคลากรระดับสูงของจีนต่อเนื่อง และขึ้นบัญชีดำธุรกิจของจีนในตลาดหลักทรัพย์อย่างไม่สนใจความสมเหตุสมผลแต่อย่างใด