จากกรณีที่ได้มีการเปิดเผยว่า นายมงคล สันติเมธากุล หรือเยล สมาชิกกลุ่มการ์ดราษฎร หายตัวไปจากบ้านพักไม่สามารถติดต่อได้ มวลชนคาดว่าถูกอุ้มโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นเรื่องลวกโลก
โดยหลังการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในช่วงเวลาที่เกิดเหตุทั้งก่อนและหลัง รวมทั้งการสอบสวนพยานบุคคล ปรากฏว่าพบนายมงคลอยู่เพียงลำพังตลอดทั้งคืน ส่วนกรณีที่นายมงคลกล่าวอ้างว่าถูกกักตัวอยู่บนรถตู้นั้น กลับพบว่าความจริงแล้วนายมงคลมีการไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบทั้งหมด จึงเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจริงตามที่นายมงคลอ้าง จึงถือว่านายมงคลแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน และเตรียมสืบสวนเพิ่มเติมว่ามีบุคคลใดเข้ามาเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนเพื่อสร้างเรื่องดังกล่าวด้วยหรือไม่ และเตรียมเรียกตัวนายมงคลเข้ารับทราบข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวน
เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ติดต่อแจ้งไปยังนายมงคลให้มารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งนายมงคลได้รับปากว่าจะเดินทางมาพร้อมทนายมาเข้าพบพนักงานสอบ แต่พอถึงเวลานัดหมายนายมงคล กลับโทรมาแจ้งว่ายังไม่พร้อมที่จะมามอบตัว และขอเลื่อนนัดการมอบตัวออกไปโดยไม่มีการกำหนด
ต่อมาในโซเชียลมีเดียได้แชร์เฟซบุ๊กมีชื่อว่า ส.เยล มงคล โดยระบุว่า เป็นคนเดียวกับ เยล การ์ดราษฎร ที่ใส่ชุดฝึกลายพรางทหารบก และหากย้อนดูไทม์ไลน์เดือน พ.ย. ปี 62 ยังเป็นทหาร นอกจากนี้เสื้อยืดลายพรางที่ส่วมใส่อยู่ระบุหน่วย นนส.ทบ. เหล่า ร. หรือ นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าราบ และก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊กชื่อดังกล่าวได้ใช้ชื่อ ผู้กองเยล มงคล ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น ส.เยล มงคล
มีรายงานข่าวจากกองทัพบกว่า นายมงคล สันติเมธากุล เป็นทหารกองประจำการผลัด 1/61 สังกัดศูนย์การทหารราบ และหนีราชการไปเมื่อเดือน ธ.ค. 2562 และต้นสังกัดได้จำหน่ายว่าหนีราชการเมื่อ ม.ค. 2563 และได้ไปแจ้งสัสดีอำเภอในภูมิลำเนา หลังจากนั้น สัสดีได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากพบตัวจะต้องส่งให้หน่วยต้นสังกัด เพื่อนำตัวส่งศาลทหาร โดยโทษหนีทหารเป็นคดีอาญา ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และคดีมีอายุความ 10 ปี แต่หากผู้กระทำความผิดได้ไปก่อเหตุซ้ำซ้อน ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีในคดีนั้นๆก่อน จนกว่าคดีจะสิ้นสุด หลังจากนั้นค่อยส่งตัวมาดำเนินคดีที่ศาลทหาร.
รายงานข่าวจากศาลทหารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา เวลา 12.30 น. พนักงานสอบสวนสภ.เมืองสมุทรปราการ ได้เดินทางมาศาลทหารกรุงเทพ พร้อมเอกสารหลักฐาน และภาพจากกล้องวงจรปิด เพื่อขออนุญาตศาลทหารกรุงเทพออกหมายจับนายมงคล สันติเมธากุล อายุ 23 ปี หรือเยล การ์ดราษฎร ในข้อหาแจ้งความเท็จ โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 ม.ค. ที่ผ่านมา นายมงคลพร้อมด้วยทนายความเดินเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนสภ.เมืองสมุทรปราการว่าถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 4-5 คนอุ้มขึ้นรถตู้ไปตั้งแต่เวลา 23.00 น.ของวันที่ 16 ม.ค. บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ 7-11 ปากซอยจัดสรรเสนาะ ถ.พุทธรักษา ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ และถูกปล่อยตัวบริเวณปากซอยเทศบาลบางปู 49 ทางเข้าการเคหะสมุทรปราการ เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 17 ม.ค.
เพราะจากการสืบสวนสอบสวนปรากฏว่าเหตุดังกล่าวไม่มีจริง เป็นการกุเรื่องของนายมงคล ทางพนักงานสอบสวนสภ.เมืองสมุทรปราการจึงได้ส่งหมายเรียกให้มาพบพนักงานสอบสวน เพื่อสอบปากคำและแจ้งข้อหาแจ้งความเท็จ แต่ปรากฏว่านายมงคลไม่เดินทางมาตามที่แจ้งไว้ และไม่สามารถติดต่อได้ ทำให้มีเหตุเกรงว่าจะหลบหนี จึงได้ขออนุญาตศาลทหารกรุงเทพออกหมายจับ ดังกล่าว เพราะเนื่องจากนายมงคลเป็นทหารกองประจำการที่หนีราชการ ซึ่งก็ถือว่ายังเป็นทหารอยู่ จึงได้เดินทางมาขออนุญาตศาลทหารออกหมายจับทันที ขณะที่การดำเนินการในคดีหนีทหารของนายมงคลนั้น อยู่ระหว่างการดำเนินการของศาลทหารมณฑลทหารบกที่ 15 เนื่องจากขณะที่เป็นทหารกองประจำการผลัด 1/61 สังกัดศูนย์การทหารราบ จ.ประจวบคีรีขันธ
นอกจากนี้นายสิริพงศ์ สันติเมธากุล บิดาของนายมงคล หรือ เยล การ์ดราษฎร ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า นายมงคล สันติเมธากุล หรือ เยล อายุ 24 ปี เป็นลูกชายของตนเอง ซึ่งขาดการติดต่อไปนานกว่า 1 ปีแล้ว โดยลูกชายของตนสมัครใจเป็นทหารเกณฑ์ สังกัดศูนย์การทหารราบ และหนีราชการไปเมื่อเดือนธันวาคม 2562 ทั้งๆที่จะได้ปลดประจำการในเดือนเมษายน 2563 เนื่องจากลูกชายไปติดพันผู้หญิงแต่ก็เลิกกัน ทำให้ชีวิตลอยเคว้งคว้าง จนกระทั่งไปร่วมชุมนุมกับม็อบปลดแอกตั้งแต่ช่วงกลางปี 2563 และเป็นการ์ดอยู่ในม็อบเรื่อยมา ซึ่งเขาไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านเลย ตนเลี้ยงลูกมาตั้งเด็กๆ รู้จักนิสัยใจคอเป็นอย่างดีว่าเป็นคนอย่างไร บอกตามตรง เขาชอบสร้างภาพ สร้างประเด็นเพื่อเรียกร้องความสนใจอยู่บ่อยๆ นิสัยเป็นแบบนี้มานานแล้ว
“ผมมั่นใจว่าเยลโกหกเรื่องโดนเจ้าหน้าที่อุ้มเพื่อเรียกร้องความสนใจ ส่วนที่บอกกันว่าเยลหนีทหารเพื่อเข้ามาเป็นสายลับแฝงตัวหาข่าวในม็อบนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องจริงแน่นอน อย่าคิดเกินจริงหรือมโนกันไปเอง”นายสิริพงศ์ กล่าว
