ก้าวไกลได้เลิกโยงมั่ว!!! สั่งปลดแล้ว”ผู้กำกับโจ้-ประสิทธิ์” พ้นสภาพจิตอาสา ชี้ประพฤติตัวไม่เหมาะ!?

1279

ก้าวไกลได้เลิกโยงมั่ว!!! สั่งปลดแล้ว”ผู้กำกับโจ้-ประสิทธิ์” พ้นสภาพจิตอาสา ชี้ประพฤติตัวไม่เหมาะ!?

จากกรณีที่คลิปหลักฐานโผล่ออกมาทางโซเชียลฯ เผยให้เห็นภาพในห้องสอบสวนสถานีตำรวจ ที่มีชายฉกรรจ์แต่งกายคล้ายตำรวจอยู่สี่ห้าคน โดยหนึ่งในนั้นคือ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ใช้ถุงพลาสติกสีขาว คลุมหัวชายที่นั่งเก้าอี้ หลังจากนั้น ชายคนนั้นก็ล้มลงกับพื้น ชายฉกรรจ์กรูเข้าไปล้อมชายคนนั้น ก่อนที่จะแน่นิ่งไป

ต่อมา พนักงานสอบสวน ภ.จว.นครสวรรค์ ได้ขออนุมัติหมายจับจากศาล โดยศาลอนุมัติหมายจับ ผู้กำกับโจ้ กับพวกรวม 7 คนในข้อหาร่วมกันฆ่าโดยเจตนา หลังจากคลิปการก่อเหตุทรมาน ผู้ต้องหา ปรากฏ และ พล.ต.ต.ระพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ (ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์)  ได้แจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีอาญากับ “ผู้กำกับโจ้”  โดยกล่าวหาว่าร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

ล่าสุดทาง ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ได้มีหนังสือ เรื่อง ให้บุคคลพ้นสภาพจากการเป็นจิตอาสา 904 โดยให้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล จิตอาสา 904 รหัสประจำตัว 2A-065 พ้นจากจิตอาสาพระราชทาน เนื่องจากทำให้เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงและสถานภาพของจิตอาสา 904 และมีคำสั่งให้เรียกคืนเครื่องแต่งกาย หมวก ผ้าพันคอ เครื่องหมายจิตอาสา 904 (ปีกโลหะ ปีกผ้า) บัตรประจำตัวและประกาศนียบัตร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งปลดประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน ซึ่งเป็นผู้ที่เคยผ่านการอบรมโครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 เช่นเดียวกัน โดยระบุในหนังสือว่าประสิทธิ์ได้กระทำการในสิ่งที่ให้เกิดความเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงและสถานภาพจิตอาสา 904 จากการเป็นผู้ต้องหาในฐานความผิดร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกับกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พร้อมเรียกคืนเครื่องแต่งกาย บัตรประจำตัว และใบประกาศนียบัตรเช่นเดียวกัน

ในขณะเดียวกัน กลุ่มแนวร่วมคณะราษฎร ก็ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก และยังมีการพูดถึงโครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 มีการพาดพิงไปถึงสถาบันด้วย

โดยทาง นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว โดยมีเนื้อหาบางส่วนว่า รีดไถ ซ้อมทรมาน ปกปิดการฆาตกรรม และคนทำคือตำรวจจิตอาสาพระราชทาน

ประเด็นที่สั่นสะเทือนสังคมไทยที่สุดประเด็นหนึ่ง ณ เวลานี้ คือการกระทำของตำรวจต่อประชาชน ทั้งผู้ชุมนุมที่ถูกทำร้าย สลายการชุมนุม จนเกิดเป็นวิกฤติศรัทธาต่อวงการตำรวจอย่างหนัก และนี่ยังผ่านไปเพียงครึ่งปี ที่ผมได้ทำการอภิปรายกรณี #ตั๋วช้าง ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบที่ผ่านมา เพื่อชี้ให้เห็นว่า ในวงการตำรวจมีการใช้เส้นสาย ระบบตั๋ว และเครือข่าย ผ่านตำรวจที่ใกล้ชิดกับวัง ใช้โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน อ้างความใกล้ชิดเบื้องสูง ทำการสร้างเครือข่ายที่ไม่มีใครกล้าตรวจสอบด้วยเครื่องแบบของ “คนดีผู้ใกล้ชิด”
จนเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธร จังหวัดนครสวรรค์ ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำการรีดไถและซ้อมผู้ต้องหาที่จับกุมได้จนเสียชีวิต หลักจากมีความพยายามไถเงิน 2 ล้านบาท ใช้ถุงคลุมศีรษะจนผู้ต้องหาขาดใจตาย แล้วไปพยายามปิดปากครอบครัวผู้เสียชีวิต สั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจใน สภ.ลบวีดีโอกล้องวงจรปิด แล้วมาอ้างต่อสาธารณะว่าผู้ต้องหาเสพยาเกินขนาด
จนสุดท้าย ผมก็ได้เห็นคลิปวีดีโอสองชิ้นที่เห็นเหตุการณ์ชัดเจนว่า ผู้กำกับคนดี ผู้อยู่ในเครือข่ายจิตอาสาพระราชทาน ที่อ้างตัวว่าสนิทสนมกับ พลตำรวจโท ต. ผู้กว้างขวางแห่งวงการตำรวจที่ผมเอ่ยถึงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ผ่านมา มีพฤติกรรมโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ซ้อมฆ่าคนและอำพรางคดีหน้าตาเฉย ราวกับว่าชีวิตคนเป็นผักปลา
นี่หรือครับคนดี? นี่หรือครับคนที่จบหลักสูตรประจำของจิตอาสาพระราชทาน? นี่หรือครับผลผลิตของระบบที่ผมเคยพูดถึงไป? การเป็นตำรวจสวมผ้าพันคอจิตอาสานี่มันยิ่งใหญ่กันขนาดนี้เลยหรือ? สุดท้ายแล้วคนพวกนี้นี่แหละครับที่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือใช้งานเพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่เคยสนใจว่าประชาชนจะต้องเจออะไรบ้าง สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกับตำรวจจิตอาสาพระราชทานคนนี้ครับ? สุดท้ายก็แค่ถูกสั่งย้าย จากผลของการฆ่าคนตายและพยายามอำพรางคดี น่าเหลือเชื่อจริงๆนะครับ การเป็นตำรวจที่มีเส้นสายในระบบเครือข่ายอะไรแบบนี้ได้ จะทำอะไรก็คงสะดวกสบายไปหมดจริงๆ
วงการตำรวจเองก็ต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองมากกว่านี้แล้วครับ รวมไปถึงหัวเรือใหญ่ทั้งพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรที่นั่งหัวโต๊ะ ก.ตร. ที่จะจริงจังแค่ไหนกับการดำเนินการต่อกับกรณีที่เกิดขึ้น มิฉะนั้น การปล่อยให้ตำรวจที่อ้างตัวใกล้ชิดเบื้องสูงทำอะไรไปเรื่อยๆแบบนี้ สุดท้ายคงไม่พ้นจะพากันพังหมดทั้งโครงสร้างแน่ๆ

อย่างไรก็ตาม การมาเป็นจิตอาสาพระราชทานนั้น กับความประพฤติส่วนบุคคล ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ก็มีแนวร่วมสามกีบหลายคน พยายามนำประเด็นดังกล่าวมาวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อโยงไปถึงการพาดพิงสถาบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด