จากกรณีเหตุการณ์ ที่มีกลุ่มมวลชนเผารถควบคุมผู้ต้องขังที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในม็อบ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา จากการรวบรวมพยานหลักฐาน ต่อมาทางศาลอาญาได้ออกหมายจับผู้ก่อเหตุ 2 ราย คือ นายอาทิตย์ สกลวารี อายุ 20 ปี และนายน้ำเชี่ยว เนียมจันทร์ อายุ 20 ปี
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าทำการจับกุมตัวไว้ได้ โดยนายอาทิตย์ให้การปฏิเสธ อ้างว่าอยู่ในเหตุการณ์จริง ยอมรับร่วมกันใช้ระเบิดปิงปองขว้างใส่รถควบคุมผู้ต้องขัง แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้รถเกิดเพลิงไหม้ ส่วนนายน้ำเชี่ยว ให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา ว่าอยู่ในที่เกิดเหตุร่วมกันใช้ระเบิดเพลิงขว้างใส่รถควบคุมผู้ต้องขังจนเกิดเพลิงไหม้
ทั้งนี้ทางตำรวจแบ่งกำลังเป็น 2 ชุด ชุดแรกจับกุมนายอาทิตย์ สากลวารี อายุ 20 ปี ได้ที่ห้องพักเลขที่ 6 หอพักไม่มีชื่อ ซอยสุขสวัสดิ์ 70 ต.บางครุ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ตามหมายจับศาลอาญารัชดา ที่ 1319/2564 ลงวันที่ 11 ส.ค. 64 ข้อหา ร่วมกันวางเพลิง มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง , ร่วมกันชุมนุมทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดที่มีจำนวนมากกว่า 5 คน พร้อมของกลาง ปืนไทยประดิษฐ์ 2 กระบอก กัญชาจำนวนหนึ่ง บ้องกัญชา 2 กระบอก และชุดที่สวมใส่วันเกิดเหตุ และได้แจ้งข้อหาเพิ่ม มีและพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ครอบครองยาเสพติดประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย
ส่วนนายน้ำเชี่ยว เนียมจันทร์ อายุ 20 ปี ตามหมายจับศาลอาญารัชดา ที่ 1320/2564 ลงวันที่ 11 ส.ค. 64 ข้อหา ร่วมกันวางเพลิง มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง , ร่วมกันชุมนุมทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดที่มีจำนวนมากกว่า 5 คน พร้อมของกลางชุดที่สวมใส่วันเกิดเหตุ ได้ที่ลานจอดรถทับทิมแมนชั่น ถนนจอมทอง แขวงและเขตจอมทอง กรุงเทพฯ
เบื้องต้นในชั้นจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คนรับสารภาพเผารถควบคุมผู้ต้องหา นำผู้ต้องหาทั้ง 2 คน พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และนายน้ำเชี่ยว พบว่ามีประวัติ เคยถูกดำเนินคดีร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้ง 2 มือเผายังพบว่ามีประวัติเรียนไม่จบตามหลักสูตร และปัจจุบันได้ศึกษาในหลักสูตรกศน. หรือการศึกษานอกโรงเรียนด้วย
ซึ่งในวันชุมนุมที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊กเยาวชนปลดแอก ที่มีกลุ่มรีเด็มร่วมด้วยนั้น ได้โพสต์ภาพที่มีบุคคลยืนดูเหตุการณ์เผารถ พร้อมบอกว่า นี่คือการตอบโต้กลับเจ้าหน้าที่ โดยที่ผ่านมากลุ่มของรีเด็มออกมาชุมนุมแต่ละครั้ง มักจะมีเหตุรุนแรงเสมอ บวกกับการเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนไปจากเดิม พบว่ามีมวลชนอีกฝั่งซึ่งเป็นเสียงส่วนมาก มองว่า การชุมนุมทุกวันนี้ ไม่ใช่การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่อีกต่อไปแล้ว เพราะมีการปะทะเกิดขึ้นต่อเนื่อง ผู้ชุมนุมบางส่วนเป็นกลุ่มเด็กอาชีวะ แรงงานต่างด้าว รวมทั้งมีประวัติการก่อคดี ทำลายทรัพย์สิน ในวันชุมนุมยังพบภาพคนบางกลุ่มยืนสูบบุหรี่ จุดไฟเผาโดยไม่รู้สึกผิด แต่กลับมองว่าทำแล้วได้ความสะใจ เด็กบางกลุ่มเรียนไม่จบ แต่จะออกมาเคลื่อนไหวด้วยทุกม็อบ มีการพกอาวุธทั้งมีด ปืน ก้อนหิน ประทัด ระเบิดปิงปองมาเป็นจำนวนมาก จนมีบางรายพลาดถูกระเบิดใส่มือด้วย
อย่างไรก็ตามจากการจับกุม 2 มือเผาในครั้งนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนขยายผล ทำการตรวจค้นบ้านผู้ต้องหา 1 ใน 2 พบว่าผู้ต้องหาพบอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ และวัสดุที่ใช้ในการประกอบวัตถุระเบิด ระเบิดปิงปอง เสื้อผ้า ของผู้ต้องหาที่ใส่ในวันเกิดเหตุซึ่งเป็นพยานแวดล้อมประกอบคดี มีหลักฐานที่ชัดเจนจนดิ้นไม่หลุด ทำให้ผู้ก่อเหตุยอมสารภาพว่าลงมือทำจริง แต่ไม่ได้กล่าวอ้างไปถึงว่าเป็นพวกมวลชนฝ่ายไหน ทำให้น่าจับตามองเหตุการณ์นี้ว่า กลุ่มหัวรุนแรงที่ออกมาร่วมม็อบนั้น ออกมาเพราะอุดมการณ์ทางการเมือง หรือมีใครจ้างให้ออกมาป่วนสร้างสถานการณ์ความรุนแรงหรือไม่ เพราะทันทีที่เกิดเหตุ เพจเยาวชนปลดแอก รีบชี้แจงว่าไม่ทราบว่าเป็นกลุ่มของฝ่ายไหน ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดว่า การชุมนุมทุกวันนี้ในเครือข่าย 3 นิ้ว ไม่ได้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสันติอีกต่อไป