ผู้มีอิทธิพลต่อผู้นำเกาหลีเหนือ คิม โยจอง น้องสาวคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ เตือนว่า ถ้ากองทัพเกาหลีใต้เดินหน้าซ้อมรบร่วมกับกองทัพสหรัฐอเมริกาในเดือนส.ค. นี้เท่ากับจะทำลายการตัดสินใจของทั้งสองเกาหลีเพื่อฟื้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ และประณามเกาหลีใต้ทรยศ พร้อมย้ำว่าพฤติกรรมซ้อมรบเพื่อรุกรานเช่นนี้จะได้รับการตอบโต้ทางทหารอย่างสาสม
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดในช่วงที่ทางการเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้พยายามจัดการหารือเพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์อึมครึม หลังทางการเกาหลีเหนือตัดสายด่วน ช่องทางเดียวในการสื่อสารระหว่างสองเกาหลีไปนานกว่า 1 ปี ตั้งแต่มิ.ย.2563 และไม่นานระเบิดอาคารสำนักงานติดต่อประสานงานร่วมกับเกาหลีใต้ ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วทั้งสองฝ่ายได้ฟื้นฟูการสื่อสารข้ามพรมแดนที่ถูกตัดขาดไปเมื่อกว่าปีที่แล้ว โดยประกาศว่าผู้นำของพวกเขาตกลงที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์
วันที่ 10 ส.ค.2564 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าน้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือ คิม โย จองกล่าวว่า เกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาจะต้องเผชิญกับภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่มากขึ้น สำหรับการเดินหน้าซ้อมรบร่วมประจำปีที่จะเริ่มขึ้นในสัปดาห์นี้
เกาหลีใต้และสหรัฐฯ เริ่มการฝึกเบื้องต้นในวันอังคารนี้ โดยจะมีการฝึกจำลองทางคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ขึ้นในสัปดาห์หน้า สำนักข่าวยอนฮัปรายงาน แม้ว่าเกาหลีเหนือที่ติดอาวุธนิวเคลียร์จะเตือนว่าการซ้อมรบดังกล่าวจะทำให้ความคืบหน้าในการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีไม่ดีขึ้นก็ตาม
คิม โย จอง(Kim Yo Jong) ระบุในถ้อยแถลงของสำนักข่าวเคซีเอ็นเอ ว่า การซ้อมรบดังกล่าวเป็น การกระทำที่ทำลายตนเองอย่างไม่เป็นที่พอใจที่คุกคามชาวเกาหลีเหนือ และเพิ่มความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี สหรัฐฯ และเกาหลีใต้จะต้องเผชิญกับภัยคุกคามความมั่นคงที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น โดยไม่สนใจคำเตือนซ้ำๆ ของเรา และยังคงผลักดันให้มีการซ้อมรบที่อันตรายซึ่งเธอระบุว่า “เป็นการปฏิบัติอย่างทรยศ”
คิม โยจอง กล่าวว่า“รัฐบาลและกองทัพของเราจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าเกาหลีใต้จะดำเนินการซ้อมรบเชิงรุกหรือจะตัดสินใจครั้งใหญ่ จะเลือกความหวังหรือความสิ้นหวัง นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา”
ด้านมาร์ติน ไมเนอร์ส โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ(U.S. Department of Defense spokesman Martin Meiners)ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในแถลงการณ์ของเกาหลีเหนือ และกล่าวว่า ขัดต่อนโยบายที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการฝึกซ้อมรบ “กิจกรรมการฝึกร่วมกันเป็นการตัดสินใจทวิภาคีของสหรัฐฯและการตัดสินใจใดๆ จะเป็นข้อตกลงร่วมกัน”
โฆษกกระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการซ้อมรบเบื้องต้นและกล่าวว่าทั้งสองประเทศยังคงหารือกันเรื่องเวลา ขนาด และวิธีการฝึกซ้อมตามปกติที่ทำประจำในทุกปี
สหรัฐฯ ประจำการทหารประมาณ 28,500 นายในเกาหลีใต้เพื่อเป็นมรดกของสงครามเกาหลีในปี 2493-2496 ซึ่งจบลงด้วยการสงบศึกมากกว่าข้อตกลงสันติภาพ ปล่อยให้คาบสมุทรอยู่ในภาวะสงครามทางเทคนิคต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
การฝึกซ้อมรบเหล่านี้ได้รับการลดขนาดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการเจรจาที่มีเป้าหมายที่จะรื้อถอน โครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเปียงยางเพื่อแลกกับการบรรเทาการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ การเจรจาล้มเหลวในปี 2019 และทั้งคู่ก็บอกว่ามันขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายที่จะดำเนินการอย่างจริงใจ
ด้าน ลี จองจู โฆษกหญิงของกระทรวงการรวมชาติเกาหลีใต้ซึ่งดูแลกิจการข้ามแดน ชี้ว่าการซ้อมรบกับสหรัฐฯ “ไม่ควรเป็นสาเหตุของความตึงเครียดทางทหารในทุกกรณี” ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ได้ลดขนาดการซ้อมรบลงมาเพื่อให้เอื้อต่อการเจรจากับเกาหลีเหนือ ประกอบกับอเมริกาในยุคของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หวังที่จะโน้มน้าวให้เปียงยางล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธ เพื่อแลกกับการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตร
คิมกล่าวว่า ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าการพูดคุยทางการทูตของวอชิงตันเป็นการปกปิดการรุกรานบนคาบสมุทรที่หน้าซื่อใจคด และสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสหรัฐฯ รื้อถอนกำลังทหารของตนในเกาหลีใต้เสียก่อน ทั้งนี้เกาหลีเหนือจะเพิ่ม “การปะทะยับยั้งอย่างสมบูรณ์” รวมถึง “ความสามารถในการโจมตีล่วงหน้าที่แข็งแกร่ง” เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามทางทหารของสหรัฐฯ ที่เพิ่มมากขึ้น
เธอย้ำว่า“ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่ามีเพียงการป้องปรามในทางปฏิบัติ ไม่สามารถใช้แต่คำพูดได้เท่านั้น ที่สามารถรับประกันสันติภาพและความมั่นคงของคาบสมุทรเกาหลีได้ และสำหรับเราจำเป็นที่จะต้องสร้างอำนาจเพื่อยับยั้งภัยคุกคามจากภายนอกอย่างเข้มงวด”