จากที่ได้มีประกาศการชุมนุมใหญ่ในวันที่้ 18 กรกฎาคม 2564 โดยเป็นการนัดของเยาวชนปลดแอก หรือ REDEM ซึ่งรวมตัวกันที่บริเวณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในเวลา 14.00 น. เพื่อเคลื่อนขบวนมวลชนไปยังทำเนียบรัฐบาล ยื่น 3 ข้อเรียกร้อง
ทั้งนี้โดยข้อเรียกร้องทั้งหมดมี 3 ข้อ คือ 1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข 2. ปรับลดงบประมาณสถาบัน-กองทัพสู้โควิด 3. เปลี่ยนวัคซีนซิโนแวค เป็นวัคซีน mRNA ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นเมื่อผู้ชุมนุมพยายามฝ่าด่านเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล
ล่าสุดวันนี้ นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มม็อบราษฎร ซึ่งอยู่ระหว่างการได้ประกันตัวจากศาลในคดีหมิ่นสถาบัน ตามความผิดมาตรา 112 ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงการชุมนุมว่า
“สำหรับเพื่อนๆที่กำลังคิดว่า สันติวิธีแล้วได้อะไร ไปม็อบทุกครั้งไปแล้วก็กลับบ้าน ต้องบอกว่าใจเย็นๆ ไม่มีใครไม่อยากชนะ ทุกคนต้องการชัยชนะ แต่ต้องบอกว่าการต่อสู้กับรัฐที่มีปืนมีกฎหมายมันไม่ง่ายขนาดนั้น เอาเข้าจริงๆผมก็เชื่อว่าทุกคนก็ตระหนักว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น มันไม่ใช่ชุมนุมครั้งเดียวรัฐบาลจะลาออกเลย หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงเลย
การใช้ความรุนแรงในสถานการณ์ที่ไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลา มันจะนำความสูญเสียทั้งทางการเมืองและต่อชีวิตครับ เอาง่ายๆ เมื่อวานนี้ถ้ามีคนยิงปืนไปที่เจ้าหน้าที่ แล้วเขายิงสวนมา ถ้าไม่โดนเราก็โดนเพื่อนเรา แล้วมันชนะมั้ย มันชนะทางการเมืองหรือมันชนะในทางเป้าหมายเลยมั้ย ?
แม้แต่ตอนแรกที่มีเพื่อนเราสาดสี ปาสี เรายังเถียงกันจนปากจะฉีกว่ามันทำได้มั้ยเลย มันเหมาะมั้ย แต่ตอนนี้การสาดสี พ่นสี ถือเป็นเรื่องปกติของม็อบไปแล้ว เพราะทุกอย่างมันต้องใช้เวลา ใช้เวลาจนสังคมเข้าใจและอยู่ข้างเรา วันนี้ถ้าเราใช้ความรุนแรง ใช้ปืนไปยิงตำรวจ แล้วสังคมจะอยู่ข้างเรามั้ย? ศิลปินจะกล้าออกมาคอล์เอาท์ให้เรามั้ย?
ผมเสนอให้เรานวดไปเรื่อยๆ ทำลายความชอบธรรมรัฐเผด็จการไปเรื่อยๆ ถึงเวลาบวกกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ถ้าผมหนีก่อนค่อยมาด่ากันครับ เชื่อมั่นและศรัทธาในเพื่อนๆทุกคนครับ”
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมง นายอานนท์ ก็ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีการชุมนุมด้วย โดยระบุว่า “ นอกจากม็อบจะขยับเพดานด้านเนื้อหา เรายังกำลังขยับเพดานด้านยุทธวิธีด้วย การเผารูป เผาหุ่น ถือเป็นสันติวิธี ส่วนการขว้างประทัด พลุไฟ ใส่ตำรวจ นั่นไม่ใช่สันติวิธี เรียนรู้ + ห้ามปราม วิพากษ์กันเองในขบวน คือการทำให้เราพัฒนาและแข็งแกร่งขึ้นอย่างมั่นคง