โดนแล้ว! สนธิญา ยื่นกกต. ตัดสิทธิ “หญิงหน่อย” ยุบไทยสร้างไทย ล่ารายชื่อฟ้องรบ.อ้างฆาตกร! “พท.-ก้าวไกล” คิวต่อไป!!
จากกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ และพรรคไทยสร้างไทย ชักชวนประชาชนลงชื่อให้พรรคไทยสร้างไทย ยื่นฟ้องรัฐบาล หลังมีมติ ครม.จัดซื้อ Sinovac เพิ่มอีกกว่า 6 พันล้านบาท โดยอ้างว่าไม่สามารถป้องกันเชื้อเดลต้าที่กำลังระบาดในขณะนี้ได้ พรรคไทยสร้างไทยได้ สร้างแคมเปญฟ้องรัฐบาลฆาตกร มีการล่ารายชื่อกว่า 3 แสนรายชื่อแล้ว
ล่าสุดทางด้านของนายสนธิญา สวัสดี ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เดินทางไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอให้ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย และกรรมการบริหารพรรคไทยสร้างไทย เนื่องจากฝ่าฝืนมาตรา 15 (11) ที่ว่าด้วยจริยธรรมของพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง ซึ่งเทียบเท่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกระทำผิดมาตรา 45 ฝ่าฝืน ก่อกวนทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยให้กับพี่น้องประชาชนในสถานการณ์อย่างนี้ เป็นไปตามกระบวนการ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92(3)(4) จากกรณีการให้สัมภาษณ์ว่ารัฐบาลเป็นฆาตกร
“การกระทำของคุณหญิงสุดารัตน์ ที่แถลงภารกิจนโยบาย 9 ข้อของพรรค ซึ่ง 1 ใน 9 ข้อเรียกร้องรวบรวมรายชื่อได้กว่า 1 แสนรายชื่อแล้ว เพื่อที่จะฟ้องว่ารัฐบาลเป็นฆาตกร ผมขอถามว่าพี่น้องประชาชนที่ไปรักษาพยาบาลอยู่ที่ไหนก็ตาม หรือขณะนี้ถ้ารักษาอยู่ที่บ้าน หรืออยู่ในกระบวนการทางสาธารณสุขก็จะให้การดูแล ให้ยา ให้อาหาร 3 มื้อ กับพี่น้องประชาชน ถามว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้ทอดทิ้งประชาชนหรือ เป็นฆาตกรตรงไหน”
จึงเป็นที่มายื่นเรื่องต่อ กกต.วินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวของคุณหญิงสุดารัตน์ ฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 45 กรณีที่พรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด หรือก่อกวนทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงร้องต่อ กกต.เพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 92(3)(4) เพื่อให้ กกต.ส่งเรื่องให้กับศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคการเมืองต่อไป
นายสนธิญา กล่าวว่า ฝากถามไปถึงคุณหญิงสุดารัตน์ ด้วยความเคารพ ในฐานะเป็นประธานพรรคไทยสร้างไทย หากท่านจำได้ ในปี พ.ศ.2547 ในสมัยที่ท่านทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี สถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ที่มีการชุมนุมของพี่น้องมุสลิม และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นคือมีการจับผู้ชุมนุมกว่า 1,200 คน มีผู้เสียชีวิต 84 คน และมีผู้สูญหายอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งการที่ยกตัวอย่างดังกล่าว เพื่อจะเรียนถามคุณหญิงสุดารัตน์ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2547 ซึ่งท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และร่วมคณะรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาลทักษิณด้วยนั้น เป็นฆาตกรหรือไม่ หรือนโยบายปราบปรามยาเสพติดที่ใช้ความรุนแรงกับพี่น้องประชาชนเสียชีวิตพันกว่าคน ได้รับการต่อต้านจากทั่วโลก การกระทำเหล่านั้นเป็นรัฐบาลฆาตกรหรือไม่ และหากเทียบอายุความขณะนี้ก็ยังไม่ถึง 20 ปี
ขณะที่สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการมากับคณะกรรมการต่างๆ ทั้งแพทย์ ปลัดกระทรวง เลขาธิการสมช. ที่รวมกันเรียกว่า ศปก.ศบค. ซึ่งแต่งตั้งบรูณาการคณะกรรมการชุดนี้มาตั้งแต่ปี 2563 ดำเนินการกระบวนการต่างๆ อยู่ภายใต้การบริหาร ศปก.ศบค.ทุกสัปดาห์ ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจว่า นายกฯตัดสินใจเองเพียงคนเดียว แต่จริงๆ แล้วจะมีการประชุมของคณะกรรมการ ศปก.ศบค.ทุกๆสัปดาห์ ออกมาเป็นนโยบายต่างๆ จนถึงปัจจุบันนี้
“ถ้าหากจะว่ารัฐบาลนี้เป็นฆาตกร ก็ขอถามว่าพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่ติดโรคในปัจจุบันนี้ ถามว่าคัดกรองโรคฟรีหรือไม่ เข้ารักษาพยาบาลฟรีหรือไม่ พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนไม่ได้ทำงานจากสภาวะฉุกเฉินหรือล็อกดาวน์อะไร รัฐบาลก็มีนโยบายการเยียวยาช่วยเหลือทดแทน อย่างเช่นวันนี้ที่กำลังจะมีการปิดอีก 14 วัน ผมเข้าใจว่าภายในวันนี้รัฐบาลก็จะมีนโยบาลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนใน 10 จังจังหวัดสีแดงเข้ม คือ กรุงเทพและปริมณฑล 6 จังหวัด รวมถึงภาคใต้อีก 4 จังหวัด”
อย่างไรก็ตาม วันนี้มายื่นยุบพรรคไทยสร้างไทย มีสิ่งหนึ่งที่จะฝากไปยังพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้าน หรือพรรคการเมืองไหนก็ตาม หากไปดูบริบท พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 15 (11) ที่ว่าจริยธรรมของพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองเทียบเท่ากับจริยธรรมของ ส.ส. เพราะฉะนั้นสิ่งที่พูด สิ่งที่กระทำนั้น ตนกำลังประมวล ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคก้าวไกลว่า ทุกคำขัดต่อจริยธรรม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 15 (11) หรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจะนำเรื่องไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซ้ำอีก ขอเรียกร้องด้วยความจริงใจว่าสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ไม่น่าที่จะออกมาเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น โปรดปล่อยให้สถานการณ์ตรงนี้สงบไป พี่น้องประชาชนเข้าสู่สถานการณ์เยียวยาดูแลตัวเอง เพื่อให้สถานการณ์สงบขึ้น อีก 15 วัน หรือ 1 เดือน ค่อยมาว่ากันใหม่ทางการเมืองก็ไม่สาย