การประชุมสุดยอดระหว่างปูตินและไบเดนที่นครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์เมื่อวันพุธที่ 16 มิ.ย.2564 เป็นการเจรจากันแบบพบตัวระหว่างผู้นำชาติมหาอำนาจทั้งสองเป็นครั้งแรก แต่การประชุมซึ่งที่ปรึกษาของไบเดนคาดว่าจะใช้เวลานาน 5 ชั่วโมงนั้น จบลงในเวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง หลังจากนั้นทั้งสองแยกกันแถลงข่าว ซึ่งต่างจากการประชุมสุดยอดระหว่างปูตินกับโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปี 2561 ที่คราวนั้นทั้งคู่แสดงความสนิทชิดเชื้อด้วยบรรยากาศเป็นมิตร
ซัมมิตระหว่างปูตินกับทรัมป์ที่กรุงเฮลซิงกิคราวนั้น มีช่วงหนึ่งที่พวกเขาคุยกันเป็นการส่วนตัวโดยมีเพียงล่ามของแต่ละฝ่ายอยู่ด้วย แต่ซัมมิตระหว่างปูตินกับไบเดนไม่มีช่วงเวลาส่วนตัวแบบนั้น
ซัมมิตครั้งแรกระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ จบลงเร็วกว่าที่คาด ผูู้นำทั้งสองเห็นพ้องกันว่าจะส่งเอกอัครราชทูตของตนกลับไปประจำเมืองหลวงของอีกฝ่ายตามเดิม หลังจากเกิดความบาดหมางเมื่อไบเดนเรียกปูตินเป็น “ฆาตกร”
ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐเสื่อมถอยในช่วงหลายปีมานี้ โดยเฉพาะหลังจากรัสเซียผนวกแคว้นไครเมียของยูเครนเป็นของตนเมื่อปี 2557, การที่รัสเซียแทรกแซงความขัดแย้งในซีเรียเมื่อปี 2558 และคำกล่าวหาของสหรัฐว่ารัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งปี 2559 ที่ช่วยให้ทรัมป์ชนะ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลทั้งสองตกต่ำลงอีกในเดือนมีนาคม เมื่อไบเดนกล่าวว่า เขาคิดว่าปูตินเป็น “ฆาตกร” ทำให้รัสเซียเรียกทูตอันโตนอฟกลับจากวอชิงตันมาปรึกษาหารือ จากนั้นสหรัฐก็เรียกเอกอัครราชทูตของตนกลับจากรัสเซียในเดือนเมษายน
ในการแถลงข่าวหลังจบการประชุม ประธานาธิบดีปูตินกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ไม่มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน และแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของทั้งสองที่จะทำความเข้าใจกันและกัน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าควรส่งเอกอัครราชทูตกลับไปประจำที่เมืองหลวงของอีกฝ่าย
Pres. Biden has testy exchange with CNN's Kaitlan Collins:
"Why are you so confident [Vladimir Putin] will change his behavior, Mr. President?"
"I'm not confident he’s going to change his behavior. What the hell?! What do you do all the time? When did I say I was confident?" pic.twitter.com/avilzHqguz
— Breaking911 (@Breaking911) June 16, 2021
ประธานาธิบดีสหรัฐ โจ ไบเดน ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะยกประเด็นความขัดแย้งหารือกับปธน.วลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย เมื่อพวกเขาพบกันที่เจนีวาเมื่อวานนี้ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ตกต่ำเลวร้ายลง ระหว่างเครมลินกับวอชิงตันและพันธมิตรตะวันตก
หลังการพบปะของสองผู้นำรัสเซีย-สหรัฐ ยิ่งตอกย้ำว่าจีน รัสเซียไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกระชับความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์และการทหาร เมื่อต้องเผชิญการรวมกลุ่มพันธมิตรตะวันตก ต้านรัสเซียและจีนอย่างโจ่งแจ้ง ของกลุ่ม G7 และนาโต และไม่จำเป็นต้องสนใจผลของการประชุมสุดยอดระหว่างสหรัฐฯ – รัสเซียแต่อย่างใด เพราะเป็นแค่พิธีการไม่มีความจริงใจรองรับแต่อย่างใด โดยไม่มีใครกล้าพูดถึงความขัดแย้งที่สหรัฐฯเริ่มขึ้นต่อรัสเซียตั้งแต่ปธน.ไบเดนเข้าดำรงตำแหน่ง แต่สถานการณ์เช่นนี้ ปธน.ปูตินแห่งรัสเซียย่อมอ่านออกทะลุปรุโปร่ง
ผู้เชี่ยวชาญชาวจีนเชื่อว่า “ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะทดสอบรัสเซียและแลกเปลี่ยนกับปูตินเพื่อพยายามแยกความสัมพันธ์จีน-รัสเซีย“
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2564 วันเดียวกันนั้นเอง สำนักข่าวทาซซ์ (TASS) ชิ หยินหง ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยเหรินหมินในกรุงปักกิ่ง เปิดเผยว่า มอสโกและปักกิ่งต่างเผชิญหน้า การรวมกลุ่มต่อต้านจากตะวันตก จึงไม่เห็นทางเลือกอื่นนอกจากต้องเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรกันต่อไป โดยไม่คำนึงถึงผลของการประชุมสุดยอดรัสเซีย-สหรัฐฯ
นักวิเคราะห์กล่าวว่า “ในสภาพการณ์ปัจจุบัน จีนและรัสเซียไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเสริมสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ การทหาร และการทูตของพวกเขา” NATO และ G7 ได้ก่อให้เกิดความเป็นปรปักษ์กันมากขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซียด้วยแถลงการณ์ของพวกเขา และการเจรจาที่เจนีวาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นได้
ชิกล่าวว่า“ไบเดนต้องการย้ำท่าทีแข็งกร้าวของสหรัฐฯต่อรัสเซีย เมื่อเขาไปเจนีวาและพบปูติน” ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการเจรจาเรื่องการควบคุมอาวุธอาวุธนิวเคลียร์ก็ยังไม่มีข้อสรุป
ด้านหลู่ เซียง ผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการสหรัฐฯ ที่สถาบันสังคมศาสตร์แห่งจีน ระบุว่า วอชิงตันสามารถพยายามผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการให้สัมปทานกับท่อส่งก๊าซ Nord Stream 2 ของรัสเซียไปยังเยอรมนี ซึ่งสหรัฐฯ ได้คัดค้านอย่างแข็งขัน และในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ก็ไม่มีข้อสรุปที่น่าตื่นใจใดๆออกมา