สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 64 “รุ้ง ปนัสยา” ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Panusaya Sithijirawattanakul ระบุว่า “แม่รุ้งโดนหมายเรียกจากสน.ชนะสงคราม เพราะแม่ไปยืนหยุดขัง ยืนแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวหนู และลูก ๆ คนอื่นออกมา ในการยืนมีการเว้นระยะห่าง ไม่มีการสัมผัสใกล้ชิดกับใครด้วย
ตอนนี้แม่หนูไม่เข้าใจเลยว่าแม่ผิดอะไร แค่อยากให้ปล่อยลูก… หนูเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแม่”
โดยรายละเอียดตามในหมายดังกล่าว ชี้แจงเหตุผลว่า ร่วมกันจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเกิน 20 คน แต่ไม่เกิน 1,000 คน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรุงเทพมหานคร จากกิจกรรมในวันที่ 28 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา แม้ว่ารุ้ง ปนัสยา จะชี้แจงในโพสต์นั้นว่า ในการยืนมีการเว้นระยะห่าง ไม่มีการสัมผัสใกล้ชิดกับใครด้วย
ขณะที่กลุ่มพลเมืองโต้กลับ ซึ่งเป็นผู้จัดกิจกรรม ได้ระบุในโพสต์ของกิจกรรมวันนั้นว่า เปิดรับคนร่วมยืน หยุดขังแค่เพียง 20 คนเท่านั้น แต่พบว่ามีคนมาร่วมกิจกรรมมากกว่านั้น จึงอาจเข้าข่ายผิดเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ตามพรก.ฉุกเฉิน และพรบ.ควบคุมโรคติดต่อ ที่ยังมีการบังคับใช้อย่างเข้มงวด ในสถานการณ์โควิดที่ยังระบาดรุนแรง
ล่าสุด “รุ้ง ปนัสยา” ได้เคลื่อนไหว ทวีตข้อความหมิ่นเหม่ อีกครั้ง หลังได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ โดยเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 64 ระบุว่า “ถ้าเขาจะรัก ไม่ต้องจัดซุ้มเขาก็รัก” และยังรีทวีตข้อความที่กล่าวว่า “พึ่งได้รู้ ว่าการรักใครสักคน มันมีค่ามากจริง ๆ… รวม ๆ ก็ 33,712 ล้านบาท” ซึ่งมีกล่าวโจมตีถึงงบของสถาบันฯ อาจจะเข้าข่ายผิดเงื่อนไขศาล ที่เจ้าตัวได้เซ็นยอมรับไว้ในวันปล่อยตัวจากเรือนจำ
โดยพบว่าบรรดาแกนนำที่ได้รับการปล่อยตัวออกมา ทั้งเพนกวิน ไมค์ อานนท์ รุ้ง ไผ่ และสมยศ ยังคงโพสต์ข้อความในโซเชียลที่หมิ่นเหม่ถึงสถาบันฯ และมีเพนกวิน สมยศ ที่ร่วมกิจกรรมชุมนุม ยืนหยุดขัง ซึ่งแม่ของรุ้ง ก็ถูกหมายเรียก จากการออกไปรวมตัวหน้าศาลฎีกา แต่รุ้งก็ยังคงไม่สำนึกถึงเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ศาลปล่อยตัว ยังทำผิดซ้ำ และอาจจะทำให้ต้องกลับเข้าคุกอีกรอบ