ถึงกับรับไม่ได้!! สามกีบนิสัยเสีย เหยียบย่ำครอบครัว โหน “น้าค่อม” ดึงโยงการเมือง เหตุที่เสียชีวิต เป็นเพราะรัฐบาล!?

5647

สร้างความเสียใจให้กับครอบครัวและแฟนคลับอย่างมาก เมื่อ “ค่อม ชวนชื่น” หรือน้าค่อม ที่คนไทยเรียกกันติดปาก ตลกชื่อดัง ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังเสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19

โดยลูกสาวของน้าค่อม ได้แจ้งว่า คุณพ่อหลับสบายแล้วนะคะ จากไปอย่างสงบ เมื่อเวลา 07.30 น. ของเช้าวันที่ 30 เม.ย. 2564 เนื่องจากมีภาวะโคม่า อวัยวะหลายอย่างล้มเหลว รวมถึงการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะชีพจรกับความดัน ร่างกายไม่ตอบสนองต่อยาที่ให้

โดยก่อนหน้านี้ น้าค่อม ป่วยด้วยโรคโควิด-19 ก่อนที่เชื้อจะลงปอด อาการปอดอักเสบ ไตวายเฉียบพลัน จนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ฟอกไต ก่อนจะย้ายจาก รพ.วิภาราม ไปรักษาตัวต่อที่ รพ.รามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ ตามที่มีข่าวนำเสนอไปก่อนหน้านี้ ระหว่างนั้นได้มีกระแสดราม่าเกิดขึ้น คอมเม้นต์จากโซเชียลเข้ามาโจมตีว่า ใช้อภิสิทธิ์ความเป็นดารา ถึงได้ย้ายรพ. อย่างรวดเร็ว ทั้งที่คนอื่นก็อาการหนัก และดราม่านี้ยังลามไปถึงคนรอบข้างที่ห่วงใยน้าค่อม ว่าทำไมถึงเรียกร้องหมอดี ๆ รพ. ดี ๆ ทั้งที่ประชาชนคนอื่นก็ป่วยเหมือนกัน เป็นความเหลื่อมล้ำในสังคมต่าง ๆ

 

 

 

และล่าสุดเช้าวันนี้ ในทวิตเตอร์ ได้ติดแฮชแท็ก #น้าค่อม เพื่อร่วมแสดงความอาลัย ของการจากไปของตลกชื่อดัง แต่ก็ไม่วายมีคอมเม้นต์จากกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย ที่เข้ามาโจมตีรัฐบาลว่า ทำให้น้าค่อมต้องเสียชีวิต เพราะการบริหารที่ล้มเหลว เช่น ดาราตื่นกันได้ยัง ว่าเราควรพูดถึงการทำงานของรัฐที่มันล้มเหลวได้แล้ว ไม่ใช่เเค่น้าค่อมแต่ไม่ควรมีใครเสียชีวิตจากการทำงานล้มเหลวของรัฐอีกแล้ว , ถ้าการเมืองดี คนดี ๆ คงไม่ต้องตาย ทำให้มีคอมเมนต์ตอกกลับว่า โหนเก่ง โยงเก่ง

อย่างไรก็ตามพบว่า กลุ่มที่คอมเมนต์ โหนการเสียชีวิตของน้าค่อม เพื่อโจมตีรัฐบาลนั้น ก็เคยคอมเมนต์ต่อว่า ในวันที่น้าค่อมได้เปลี่ยนรพ. พร้อมทั้งวิจารณ์ว่าใช้เส้นสายต่าง ๆ นอกจากนี้การเสียชีวิของน้าค่อม ถือว่าค่อนข้างรุนแรง รวดเร็ว เพราะเข้ารักษาตัวได้เพียง 18 วัน จากตอนแรกที่ไม่แสดงอาการใด ๆ ต่อมาอาการทรุดลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ลูกสาวของน้าค่อมได้เปิดใจตั้งแต่ช่วงแรกที่พ่อเข้ารับการรักษา ว่าห่วงมาก ๆ เนื่องจากพ่อมีโรคประจำตัวหลายอย่าง และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ จะพบว่า มีโรคความดัน เบาหวาน หัวใจ ภูมิแพ้ ผู้ที่มีโรคระบบทางเดินหายใจ จะเป็นกลุ่มเสี่ยงอันดับต้น ๆ