ไม่มีอะไร ในกะโหลก? ย้อนคำสั่งศาลฯ ยกฟ้อง “คณะสันติอโศก” ตอกหน้า “แกนสามกีบ” แจ้งเอาผิด ย้ำชัด ไม่เคยศึกษาความจริงก่อนพูด

5013

หลังจากที่นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ แกนนำกลุ่มขอนแก่นพอกันที ได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีสมณะโพธิรักษ์ เป็นนักบวชผู้ก่อตั้งและผู้นำทางจิตวิญญาณของสำนักสันติอโศก ในข้อหาแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ โดยระบุด้วยว่า วันนี้มาแจ้งความเอาผิดสมณะโพธิรักษ์ หรือนายรัก รักพงษ์ และกลุ่มสันติอโศก ในข้อหาแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ เช่นเดียวกับที่หลวงพ่อดาวดิน ปฐวัตโต หรือ สมณะดาวดิน ถูกแจ้งความดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้

ทั้งนี้การแจ้งความกับสมณะโพธิรักษ์ ที่ทางครูใหญ่ 1 ในแกนนำม็อบราษฎรได้แสดงความประสงค์จะดำเนินคดีในเรื่องการแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ในอดีต สมณะโพธิรักษ์ ก็เคยถูกแจ้งข้อหาในทำนองนี้มาแล้ว โดยมหาเถรสมาคม จนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำสั่งฟ้องว่าสมณะโพธิรักษ์มีความผิดแต่อย่างใด

โดยรายละเอียดการดำเนินการทางกฎหมายบ้านเมือง เกี่ยวกับ มหาเถรสมาคม-สำนักสันติอโศก มีดังนี้

สมณะโพธิรักษ์ และ สำนักสันติอโศก ดำเนินการประกาศไม่ขึ้นต่อคณะสงฆ์ไทย หรือที่เรียกว่า “นานาสังวาส” ตั้งแต่เมื่อ วันที่ 6 สิงหาคม 2518 ที่ วัดหนองกระทุ่ม ต.ทุ่งลูกนก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และได้ดำเนินการปฏิบัติธรรมเผยแพร่ธรรมตลอดจนมีวัตรปฏิบัติในหลายลักษณะที่ แตกต่างจากคณะสงฆ์ไทย เป็นต้นว่า ไม่โกนคิ้ว, ไม่บูชาด้วยไฟ (คือจุดธูปเทียน), ไม่บูชาพระพุทธรูป , ประกาศตนเป็นพระโพธิสัตว์, ประกาศตนเป็นพระอริยบุคคล, ประกาศตนเป็นพระสารีบุตรกลับชาติมาเกิด, รู้พระธรรมและพระไตรปิฎกได้ด้วยตนเอง และ ฯลฯ รวมทั้งพื้นฐานเด่นชัดที่สุดคือ มังสะวิรัติ ที่จริง ๆ แล้วก็ได้เริ่มปฏิบัติและเผยแพร่มาเป็นขั้นตอนตั้งแต่สมัยยังเป็น ฆราวาสผู้ปฏิบัติธรรม, พระภิกษุในมหานิกาย และ พระภิกษุในธรรมยุติกนิยาย ในช่วงระหว่าง ปี 2513-2517 แต่ไม่มีการดำเนินตอบโต้อย่างจริงจังในระดับมหาเถรสมาคม

จนกระทั่งผ่านปี 2528 ที่ศิษย์เอกของสำนักแห่งนี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้รับเลือกให้เป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในลักษณะ Landslide ด้วยมีคณะทำงานช่วยเหลือในการหาเสียงและดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในภายหลังในนามของ กลุ่มรวมพลัง ที่ต่อมาแปลสภาพเป็น พรรคพลังธรรม ล้วนแต่เป็นศิษย์ฆราวาส ของสำนักสันติอโศก การตอบโต้อย่างจริงจังถึงที่สุดจึง เริ่มต้นก่อรูปขึ้น และขึ้นสู่จุดสูงสุด ใน ปี 2531 – 2532 ปีเดียวกับที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กำลังจะได้รับเลือกให้เป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ในการประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2531 ได้มีมติพิเศษแต่งตั้ง คณะการกสงฆ์ ขึ้นภายใต้การนำของ สมเด็จพระธีรญาณมุนี เพื่อพิจารณากรณีสันติอโศกในฐานะที่มีพฤติกรรม ทำวิปริตจากพระธรรมวินัย, ทำพระธรรมวินัยให้วิปริต การพิจารณาดำเนินไปเป็นเวลา 6 เดือน จึงได้ข้อยุติ

ในเดือนมิถุนายน 2532 “พิศาล มูลศาสตร์สาทร” ปลัดกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น จึงสั่งให้จับกุมสมณะโพธิรักษ์และพวกทั้งหมด รวม 105 คน ในวันที่ 8 สิงหาคม 2532 พนักงานสอบสวนจับกุม แจ้งข้อหา และสอบสวนแล้ว พนักงานอัยการได้ฟ้องเป็นจำเลยจำนวน 80 คดี ศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาว่า จำเลยที่ 1-79 มีความผิดเกี่ยวกับศาสนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 (ไม่ใช่ภิกษุสงฆ์ บังอาจแต่งกายอย่างภิกษุสงฆ์ เพื่อล่อลวงให้คนอื่นเชื่อว่าเป็นภิกษุสงฆ์) และให้จำคุกคนละ 3 เดือน ส่วนจำเลยที่ 80 คือ สมณะโพธิรักษ์ สนับสนุนให้จำเลยที่คนอื่น ๆ กระทำผิดดังกล่าวจำนวน 33 กระทง พิพากษาลงโทษจำคุกเรียงกระทง กระทงละ 2 เดือน รวมเป็นจำคุก 66 เดือน

วันที่ 3 มกราคม 2533 เจ้าพนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง สมณะโพธิรักษ์ และนักบวชชายหญิงแห่งสำนักสันติอโศก รวม 80 คน

และคดีต่อสู้กันอยู่นาน 5 ปี ในที่สุดศาลฎีกาจึงมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลย มีความผิด 27 กระทง ลงโทษจำคุก 54 เดือน โทษจำให้รอลงอาญา 2 ปี รวมทั้งคำพิพากษาอื่นเช่น ห้ามกระทำผิดซ้ำอีก, คุมประพฤติ เป็นอันน่าจะปิดฉากไป โดยศาลอุทธรณ์ยกฟ้องจำเลยบางคน และศาลฎีกาพิพากษายืน โดยศาลฎีกาวินิจฉัยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2541 ว่า

“จำเลยที่ 80 ได้บวชเป็นพระภิกษุในฝ่ายธรรมยุตนิกาย…และ…ได้สวดญัตติเข้าเป็นพระภิกษุในฝ่ายมหานิกาย แสดงว่า จำเลยที่ 80 ได้ยอมรับที่จะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และกฎมหาเถรสมาคมมาก่อน และในช่วงเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 80 ก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ ไม่ปรากฏว่า จำเลยทุกคนถูกกลั่นแกล้งจากใครอย่างไรและถึงขนาดไม่อาจปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้ เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า…ไม่ปรากฏบทบัญญัติมาตราใดให้สิทธิพระภิกษุสงฆ์ไทยประกาศแยกตนให้มีผลประดุจสังฆเภทไม่ยอมอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ได้ การประกาศของจำเลยที่ 80 กับพวกดังกล่าวจึงไม่ทำให้จำเลยที่ 80 กับพวกพ้นจากการปกครองของมหาเถรสมาคมและไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 การที่ภิกษุสงฆ์นักบวชไม่อนุวัตปฏิบัติตามกฎหมายกลับมีผลเป็นการก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นดังเช่นที่ปรากฏในคดีนี้”

แม้ว่าสมณะโพธิรักษ์ จะยังคงยืนยัน ปฏิบัติธรรมตามแนวการตีความเดิม และถือว่าเป็นพุทธสาวก แต่ในทางกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ไม่ใช่ แต่ท่านและสานุศิษย์ก็ยังคงสามารถดำเนินวิถีตามความเชื่อต่อไปโดย ไม่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง เพราะเป็น สิทธิ, เสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 38, 73 ดังที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ได้อ้างอิงไว้แล้ว

เริ่มต้นที่มาตรา 38 วรรคแรก บัญญัติไว้ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” ตามด้วยมาตรา 73 ที่ระบุไว้ว่า รัฐต้องให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา รวมทั้งสนับสนุนการนำหลักธรรมของศาสนามาใช้เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต

หากได้ติดตามข่าวสารทางการเมือง จะเห็นว่ากองทัพธรรม ภายใต้การนำของสมณะโพธิรักษ์ เจ้าสำนักสันติอโศก ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นระยะ ๆ อย่างเมื่อ 14 ตุลาคม ปี 2563 ที่แล้วรวมตัวกันที่สะพานมัฆวานฯ เพื่อแสดงความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

และเมื่อปี 2555 ได้เข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามที่นำโดยพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย โดยช่วงนั้นมีข่าวกระแสหนึ่งออกมาระบุว่า บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการ “สั่งยุติชุมนุม” ของ เสธ.อ้าย คือ สมณะโพธิรักษ์ แห่งสำนักสันติอโศก ผู้นำ “กองทัพธรรม” เป็นกำลังหลักในการเคลื่อนไหวชุมนุมขับไล่รัฐบาลนอมินีหนนี้ และยังปรากฏภาพข่าว “พ่อท่านโพธิรักษ์” ถูกปาแก๊สน้ำตาจนสะบักสะบอมด้วย

นอกจากนี้สมณะโพธิรักษ์ ยังได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อ ไว้ในช่วงต้นปี 2564 ด้วยว่า ที่ผ่านมาการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองของสันติอโศกถูกต้องแล้ว ท่านบอกว่า ถูกต้องแล้ว ดี ใช้ได้เลย โดยภาพรวมของประชาธิปไตยในโลก อาตมาว่าประชาธิปไตยต้องมี 2 ขา ประชาธิปไตยที่มีขาเดียวคือประชาธิปไตยพิการ

อย่างอเมริกา เมืองที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินมันขาดวิญญาณ เพราะพระเจ้าแผ่นดินนั้นคือวิญญาณของประเทศชาติ เอาแต่เลือกตั้งใครก็ได้ ใครก็เข้ามาบริหารได้ มันไม่ต่อเนื่อง มันไม่มีหลักยึด ไม่มีกฎมณเฑียรบาล ไม่มีการสืบสันติวงศ์ มันไม่ได้

แต่โดยค่าเฉลี่ยองค์รวมแล้วการเมืองของไทยนั้นดีที่สุด กับอเมริกานั้นคนละขั้วเลย ประชาธิปไตยของอเมริกากำลังอยู่ในระหว่างเสื่อมหนัก แต่ประชาธิปไตยของไทยกำลังโดดเด่นมาก หลายคนมองว่าประชาธิปไตยไทยมีสิ่งบกพร่อง มันก็แน่นอน เพราะประชาธิปไตยจะมีด้านเดียวได้อย่างไร

เมื่อถามว่า มองอย่างไรกรณีเด็กรุ่นใหม่ออกมาชุมนุมเรียกร้องทางการเมือง?

เป็นธรรมชาติของประชาธิปไตย ต้องมีฝ่ายค้าน ไม่อย่างนั้นจะยืนยันอย่างไรได้ว่าเป็นประชาธิปไตย ถ้าไม่มีบุคคลเหล่านี้ออกมาแสดงอะไรเลย ก็เป็นเผด็จการหมู่เหมือนจีนแผนดินใหญ่ จะเป็นประชาธิปไตยเผด็จการหมู่ ประชาธิปไตยต้องมีฝ่ายค้าน ถึงจะเป็นประชาธิปไตยร้อยเปอร์เซ็นต์


เมื่อถามว่ากองทัพธรรมและชาวอโศกสนับสนุนพรรคการเมืองไหนบ้าง ?

ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองไหนเลย แต่ส่งเสริมสิ่งที่เป็นพฤติการการเมืองที่เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะรัฐบาลที่กำลังดำเนินการ ถ้าเห็นดีก็ส่งเสริมเพราะเราใช้ปัญญาวินิจฉัยเสมอ แต่คนก็มองว่าไม่เป็นกลางเพราะเราเข้าข้างรัฐบาล ทั้งที่เมื่ออะไรดีเราก็เข้าข้าง ความเป็นกลางคือการเข้าข้างคนดี ถ้าความเป็นกลางที่ไม่เข้าข้างใครคือความเป็นกลางที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือความหลงผิด เป็นความเข้าใจผิด ถ้าคนดีไม่ส่งเสริม คนชั่วหรือคนที่ต่อต้านก็จะมีกำลัง เมื่อคนชั่วมีกำลังก็โค่นคนดีล้มได้

อย่างไรก็ตามในเฟซบุ๊ก Boriphat Sangpakorn ยังให้ความเห็นถึงประเด็นที่ครูใหญ่เข้าแจ้งความด้วยว่า

ท่านสมณะโพธิรักษ์ไม่เคยขาดจากความเป็นพระเลย แต่ด้วยความดื้อที่จะเคร่งเกินพุทธบัญญัติของพระพุทธเจ้าท่านโพธิรักษ์จึงประกาศออกจากคณะสงฆ์ไทย แยกตัวว่าจะเป็นลัทธิใหม่ไม่ขึ้นกับคณะสงฆ์ไทย เรื่องนี้ชาวบ้านร้านตลาดเค้ารู้กันมาจะสามสิบปีแล้วครับ

สันติอโศกทั้งสำนัก มีพระตามความหมายคณะสงฆ์ไทยเพียงรูปเดียว คือท่านโพธิรักษ์ แม้ท่านจะไม่ยอมรับเป็นพระ และไม่ยอมห่มจีวรตามแบบจารีตนิยม แต่ท่านไม่เคยลาสิกขาบท
แต่สมณะอื่นที่ท่านโพธิรักษ์บวชให้ อย่างนี้ไม่ใช่พระตามความหมายของคณะสงฆ์ไทย เพราะไม่เข้าองค์ประกอบการอุปสมบทตามพุทธบัญญัติ ดังนั้นไม่เป็นพระ และพวกท่านเหล่านั้นถึงวิธีนุ่งห่มจะคล้ายพระ ท่านก็แสดงเจตนาชัดเจน ทำให้เห็นแตกต่างได้ด้วยตาเปล่า ไม่มีทางที่ใครจะเข้าใจผิด เพราะท่านก็ประกาศให้ชาวโลกรับรู้มาแต่ไหนแต่ไรว่าท่านไม่ใช่พระในคณะสงฆ์ไทย