สหรัฐฯสยองขวัญกลางวันแสกๆ?!?มือปืนกราดยิงที่เฟดเอ็กซ์ ดับสลด 8 ศพเจ็บอื้อ ขณะคดีชังเอเชียน-อเมริกันพุ่ง1,900%

2119

เกิดเหตุกราดยิงสะเทือนขวัญ ที่เมืองอินเดียนาโพลิส ของสหรัฐฯภายในคลังสินค้าของบริษัท เฟดเอ็กซ์ (FedEx)ทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 คน บาดเจ็บอีกจำนวนมาก ก่อนที่คนร้ายจะตัดสินใจลั่นกระสุนปลิดชีพตนเอง ขณะเดียวกันอัตราการเหยียดเชื้อชาติและการทำร้ายร่างกายชาวเอเชียน-อเมริกันในสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งมากกว่าสถานการณ์ในปีก่อนหน้าหลายเท่าตัว กรมตำรวจนิวยอร์ก หรือ NYPD เปิดเผยว่า ‘อาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง’ ในพื้นที่นครนิวยอร์กนั้นพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 1,900% ในปี 2563ถึงปัจจุบัน จนนำมาสู่การลงถนนประท้วงในหลายพื้นที่

สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ตำรวจเมืองอินเดียนาโพลิส รัฐอินเดียนาได้รับแจ้งให้เดินทางไปยังอาคาร ‘เฟดเอ็กซ์ กราวด์’ ใกล้สนามบินหลักของเมือง ในเวลาประมาณ 23.00 น. วันพฤหัสบดีที่ 15 เม.ย. 2564 หลังเกิดเหตุคนร้ายกราดยิงที่ด้านหน้าและภายในอาคารดังกล่าว ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 8 ศพ มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ก่อนที่มือปืนจะปลิดชีพตนเอง

นายเครก แมคคาร์ต รองผู้กำกับการตำรวจเมืองอินเดียนาโพลิส เปิดเผยว่า “มือปืนเดินทางมาถึงลาดจอดรถ แล้วเริ่มกราดยิงทันที… เหตุยิงกันจุดแรกเกิดขึ้นที่ลานจอดรถ จากนั้นเขาเข้าไปในอาคาร จากที่ได้ยินมา เหตุการณ์นี้ดำเนินไปนานเพียง 1-2 นาทีเท่านั้น”

นายแมคคาร์ตเปิดเผยอีกว่า ตำรวจที่ไปถึงจุดเกิดเหตุพบภาพความวุ่นวายอย่างหนัก ผู้บาดเจ็บและผู้เห็นเหตุการณ์ต่างวิ่งหนีไปทุกทิศทาง และเขาเชื่อว่ามือปืนจบชีวิตตัวเองหลังจากเจ้าหน้าที่พยายามเข้าไปเผชิญหน้ากับเขา ไม่ได้ถูกตำรวจยิงเสียชีวิต

รองผู้กำกับฯเปิดเผยว่า มือปืนคือ นายแบรนดอน โฮลวัย 19 ปีซึ่งเคยเป็นพนักงานเฟดเอ็กซ์และถูกเลิกจ้างในปี 2563

Brandon Hole, 19YO

ด้านนางจีนี คุก โฆษกตำรวจหญิงเมืองอินเดียนาโพลิส กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ทราบมูลเหตุจูงใจของคนร้าย ขณะที่ตำรวจระบุตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บไม่ตรงกัน โดยนายแมคคาร์ตกล่าวว่า มีผู้บาดเจ็บถูกยิงอีกอย่างน้อย 4 รายกำลังรักษาตัวที่โรงพยาบาล และรายที่ 5 มีบาดแผลจากของมีคม

ส่วนแถลงการณ์ของตำรวจอินเดียนาโพลิส ระบุว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกยิง 5 คน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และมีอีก 2 คนได้รับการรักษาที่จุดเกิดเหตุ และกลับบ้านได้แล้ว

FedEx ออกแถลงการณ์ว่า “รู้สึกตกใจและเสียใจอย่างยิ่งกับการสูญเสียสมาชิกในทีมของเรา”

นอกจากนี้ อิริค โฮลด์คอมบ์ ผู้ว่าการมลรัฐอินเดียนา แถลงว่าวันศุกร์เป็นอีกวันที่น่าสะเทือนใจ ขอแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบ

เหตุการณ์นี้เป็นการกราดยิงครั้งที่ 45 ในสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่เหตุกราดยิงในพื้นที่แอตแลนตาเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 ซีเอ็นเอ็นถือว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการยิงกันจำนวนมากหากมีผู้เสียชีวิตตั้งแต่ 4 คนขึ้นไปยกเว้นมือปืนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากกระสุนปืน นอกจากนี้ยังเกิดเหตุกราดยิงที่ร้านขายของในรัฐโคโรลาโด เมื่อ 22 มี.ค.2564 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10 ศพ ขณะเดียวกันการทำร้ายกันถึงชีวิตเพราะความคิดเกลียดกลัว คนเอเชียน-อเมริกันพุ่งขึ้นอย่างผิดปกติ 

นายโจฮอกเซ็ตต์นายกเทศมนตรีเมืองอินเดียนาโพลิสกล่าวว่า กระบวนการเยียวยาจะได้รับหลังจากการพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับวัฏจักรแห่งความรุนแรงที่เกิดจากอาวุธปืนที่เข้าถึงได้ง่าย ฮอกเซ็ตต์มองว่า แม้ว่าจะยากในการแก้ปัญหากฎหมายการครอบครองอาวุธปืน แต่ก็จำเป็นต้องทำ

ประธานาธิบดีโจไบเดนสั่งให้ลดธงที่สถานบริการของรัฐบาลกลางลงครึ่งเสาและเรียกร้องให้สภาคองเกรสดำเนินการเกี่ยวกับกฎหมายอาวุธปืนโดยเรียกความรุนแรงจากปืนว่าเป็น “วัฎจักรอาชญากรรมไม่จบสิ้น”

ทีมงานของประธานาธิบดีไบเดน เปิดเผยถึงมาตรการต่อต้านอาชญากรรมจากความเกลียดชังชาวเอเชีย ซึ่งรวมถึงการจัดสรรงบช่วยเหลือ 49.5 ล้านดอลลาร์ จากเงินบรรเทาทุกข์จากโควิด-19 ให้กับชุมชนในอเมริกาเพื่อช่วยเหลือเหยื่อจากเหตุความรุนแรงจากความเกลียดชังผู้คนเชื้อสายเอเชียโดยเฉพาะ รวมทั้งการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการใหม่ที่มุ่งเน้นการต่อต้านความเกลียดชังคนเชื้อสายเอเชียในระบบสาธารณสุขของสหรัฐฯ ด้วย

ในแถลงการณ์ของทำเนียบขาว ยังระบุว่า ทางกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ให้ความสำคัญต่ออัตราการเกิดอาชญากรรมจากความเกลียดชังที่พุ่งเป้าไปที่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอย่างยิ่ง และเตรียมบังคับใช้กฎหมายต้านอาชญากรรมจากความเกลียดชัง รวมทั้งจัดทำรายงานเฉพาะเกี่ยวกับคดีในลักษณะนี้เพิ่มเติมด้วย

มาตรการต่อต้านอาชญากรรมจากความเกลียดชังชาวเอเชียนอเมริกัน จากรัฐบาลยุคไบเดน มีขึ้นตั้งแต่เกิดเหตุยิงกราดร้านสปาในนครแอตแลนตา คร่าชีวิต 8 ราย เมื่อต้นเดือนมีนาคม ซึ่งผู้เสียชีวิต 6 รายในนั้น เป็นหญิงอเมริกันเชื้อสายเอเชีย

จากเหตุยิงกราดครั้งนั้น ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับชุมชนอเมริกันเชื้อสายเอเชียและเชื้อสายหมู่เกาะแปซิฟิคเป็นอย่างมาก ประกอบกับอัตราการเกิดอาชญากรรมจากความเกลียดชังคนเชื้อสายเอเชียที่พุ่งสูงขึ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา NYPD รายงานว่าโดยเฉพาะในนิวยอร์ก เพิ่มขึ้นถึง 1,900%

และองค์กรยุติความเกลียดชังต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก (AAPI) ได้เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 19 มี.ค. 2563 จนถึง 28 ก.พ. 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทางองค์กรได้รับแจ้งเหตุที่เกิดจากความเกลียดชังเกือบ 3,800 ครั้ง