การที่จีนและรัสเซีย เปิดหน้าชกสหรัฐประกาศจับมือทิ้งดอลลาร์สหรัฐอย่างเป็นระบบ ส่งผลสะเทือนทางเศรษฐกิจและการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ทั้งสองประเทศมีแสนยานุภาพทางทหารหนุนอีกต่อหนึ่ง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่สหรัฐและพันธมิตรตะวันตกจะเพิกเฉยได้ ที่ผ่านมาโลกคุ้นเคยกับโครงสร้างพื้นฐานระบบอเมริกันและดอลลาร์ แต่ต่อไปโลกจะเริ่มเคยชินกับโครงสร้างพื้นฐานสกุลเงินที่หลากหลายขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าโลกใบนี้ไม่ได้มีมหาอำนาจเพียงผู้เดียวอีกต่อไปแล้ว (unipolar world) แต่มีมหาอำนาจหลายฝ่าย (multipolar world)ที่ซับซ้อนมากขึ้น ตราบใดที่การแข่งขันช่วงชิงการนำยังดำเนินอยู่ต่อไป นับวันมีแต่จะสร้างความตึงเครียดแก่โลกมากขึ้น ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ การค้า-การลงทุน มิติทางการเมือง-ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และมิติทางการทหาร
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองกุ้ยหลิน สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2564 ว่า นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรมว.การต่างประเทศจีน ให้การต้อนรับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.การต่างประเทศรัสเซีย ในโอกาสพบหารือกันอย่างไม่เป็นทางการ ที่เมืองกุ้ยหลิน ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เมื่อวันจันทร์ที่ 23 มี.ค.2564 ที่ผ่านมาส่
ทั้งสองประเทศเห็นพ้องร่วมกันในการ ลดการพึ่งพาการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และระบบการชำระเงินของตะวันตก เพื่อตอบโต้การครอบงำเบ็ดเสร็จของตะวันตกและการบีบบังคับเลือกข้างต่อต้านการเติบโตทางเทคโนโลยีของทั้งสองประเทศ
นายลาฟรอฟให้สัมภาษณ์สื่อจีนก่อนเริ่มการเยือนว่า รัฐบาลรัสเซียและจีนล้วนถูกบีบให้ต้องพัฒนาโดยไม่พึ่งพารัฐบาลสหรัฐ เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐพยายามตีกรอบการพัฒนาทางเทคโนโลยีของทั้งสองประเทศ รอยเตอร์อ้างบทสัมภาษณ์ของเขาว่า จีนและรัสเซียจำเป็นต้องลดความเสี่ยงที่จะถูกคว่ำบาตรด้วยการส่งเสริมความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีของตัวเอง โดยเปลี่ยนมาใช้ระบบการชำระเงินด้วยสกุลเงินของตนเองและของโลกเพื่อเป็นทางเลือก แทนการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และต้องอยู่ให้ห่างจากระบบการชำระเงินโลกที่ถูกตะวันตกควบคุมมายาวนาน
ก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์โกลบอลไทมส์รายงานว่า การเยือนของนายลาฟรอฟเป็นสัญญาณว่า ความร่วมมือใกล้ชิดของสองประเทศจะช่วยชดเชยผลที่เกิดจากการก่อปัญหาของสหรัฐ อีกทั้งมีความหมายอย่างยิ่ง เพราะรัสเซียเป็นประเทศแรกที่จีนแบ่งปันข้อมูลและความคิดเห็นในประเด็นสำคัญ หลังจากที่มีการประชุมแบบพบหน้าครั้งแรกกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ ที่เมืองแองคอราจ ในรัฐอะแลสกาเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งผลออกมาเป็นการปะทะคารมไม่มีใครยอมใคร จนไร้ข้อสรุปเรื่องการปรับปรุงสัมพันธภาพระหว่างสองประเทศ
สัญญาณเผชิญหน้าของมหาอำนาจโลกชัดเจนมากขึ่น เมื่อโจ ไบเดน ปธน.สหรัฐประกาศลั่น จะไม่มีวันยอมให้จีนแซงหน้าสหรัฐอเมริกาได้
เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มี.ค. 2564ที่ผ่านมา หลังจากรัสเซียและจีนประกาศทิ้งเงินสกุลดอลลาร์ชัดเจน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ประกาศว่า “จีนต้องเดินตามระเบียบโลก” และตราบใดที่เขายังเป็นผู้นำสหรัฐ อเมริกาจะพัฒนามากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ จนอีกฝ่ายไม่สามารถแซงหน้าได้ในทุกๆด้าน
President Joe Biden said he had made it clear to Chinese President Xi Jinping that the U.S. was not looking for confrontation but would insist that China play by international rules for fair competition and fair trade https://t.co/97711SIbzc pic.twitter.com/TqvtrwJ40M
— Reuters (@Reuters) March 26, 2021
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวในช่วงหนึ่งของการแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 มี.ค.2564 ในประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีน ว่า รัฐบาลวอชิงตันไม่เคยมีความประสงค์เผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แต่การแข่งขันเป็นภาวะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สหรัฐมีจุดมุ่งหมายหมายแน่วแน่และชัดเจนในการทำให้จีนปฏิบัติตาม “กฎระเบียบโลก” เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม การค้าสองฝ่ายด้วยความเท่าเทียม และการเคารพในหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน
จีนเป็นประเทศที่มี “เป้าหมายชัดเจน” ในทุกด้าน โดยเฉพาะการก้าวขึ้นสู่การเป็นประเทศมหาอำนาจ ที่อยู่แถวหน้าของโลก การเป็นประเทศมีฐานะทางเศรษฐกิจมั่งคั่งที่สุดในโลก และการเป็นประเทศทรงอิทธิพลที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม “ความใฝ่ฝัน” เหล่านั้นของรัฐบาลปักกิ่ง จะไม่มีทางเกิดขึ้น ตราบใดที่เขายังอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐ เนื่องจากอเมริกาจะเร่งพัฒนาให้ทิ้งห่างออกไปอีกหลายช่วงตัว
ขณะเดียวกัน ผู้นำสหรัฐกล่าวถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ว่าผู้นำจีน “เป็นคนแบบเดียวกัน” กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย นั่นคือมีความเชื่อมั่นว่า การปกครองแบบอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่บุคคลเพียงคนเดียว “เป็นกระแสแห่งอนาคต” และระบอบประชาธิปไตย “ใช้ไม่ได้ผลกับโลกปัจจุบันอันซับซ้อน” นั่นเป็นเพราะประธานาธิบดีจีน “ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ในสายเลือด” อย่างไรก็ตาม ผู้นำจีนเป็นคนฉลาดและเฉลียว
“I see stiff competition with China,” Biden says, adding that he doesn’t agree with that country’s goal of becoming “the leading country in the world, the wealthiest country in the world and the most powerful country in the world.” ⁰⁰“That’s not going to happen on my watch.” pic.twitter.com/tlX2ZQUOhW
— Bloomberg Quicktake (@Quicktake) March 25, 2021
ย้อนกลับไปเมื่อต้นเดือนนี้ ไบเดนเรียกปูตินว่า “ฆาตกร” จุดชนวนความตึงเครียดทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ ด้วยการที่รัสเซียเรียกกลับเอกอัครราชทูตประจำกรุงวอชิงตัน และตอบโต้ไบเดนว่า เป็นคนประเภทเดียวกัน
ต่อมา นายชุย เต๊งไก๋ เอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงวอชิงตัน แถลงตอบโต้คำกล่าวของปธน.ไบเดนว่า เป้าหมายในการสร้างชาติของจีน คือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคนให้ดีขึ้น ประชาชนทุกคนในจีนต้องมีความอยู่ดีกินดี ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อเอาชนะสถานเดียว หรือเพื่อนำตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งแทนประเทศใดในโลกนี้ พร้อมทั้งเน้นว่า “การสร้างความแตกแยกบนโลก” จะไม่มีทางทำให้มนุษยชาติสามารถเอาชนะโรคโควิด-19 ภาวะโลกร้อน และปัญหาความยากจนได้อย่างแน่นอน
ก่อนหน้าปธน.ไบเดนประกาศกร้าว ทีมงานห้าวของเขา ทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาความมั่นคง ต่างเดินสายพบปะสมาชิกกลุ่มQUAD อย่างเอาการเอางานและ ที่ฮือฮาล่าสุด คือการปะทะคารมดุเดือนในงานประชุมสุดยอดอะแลสกากับทีมรัฐบาลปักกิ่ง
ก่อนหน้าวันประชุมร่วมกับจีน ทีมนี้ก็เดินสายไปคุยในที่ประชุมนาโต้ ประกาศลั่นว่าสหรัฐจะยกระดับนาโต ต้านทานรัสเซีย-จีนอย่างโจ่งแจ้ง
ในวันพุธที่ 24 มี.ค. 2564ในที่ประชุมนาโต(องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ) กรุงบรัสเซลส์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวต่อที่ประชุมแสดงความมุ่งมั่นเป็นผู้นำในการ “ฟื้นฟู” สหภาพทางทหารแห่งนี้ในทุกมิติ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการเผชิญหน้ากับรัสเซียและจีน
บลิงเคนกล่าวว่า เพื่อส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นของสหภาพทางทหารแห่งนี้ และเรียกร้องความเป็นเอกภาพภายในสมาชิกทั้ง 30 ประเทศรวมถึงสหรัฐ เพื่อให้สามารถต้านทานกับความท้าทายทางทหารจากรัสเซียและจีน ซึ่งยังคงต้องการทำลายเสถียรภาพด้านความมั่นคงทางทหารของนาโต และโลกตะวันตก
ทั้งนี้ บลิงเคนเน้นมาตรา 5 ในกฎบัตรนาโตที่มีสาระสำคัญ คือการที่สมาชิกนาโตประเทศใดก็ตาม ถูกโจมตีหรือกำลังจะตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางทหาร ให้ถือว่า เป็นการโจมตีสมาชิกที่เหลือเช่นกัน นาโตเคยใช้อำนาจตามมาตราดังกล่าวเพียงครั้งเดียว นั่นคือการร่วมกันส่งทหารเข้าไปประจำการในอัฟกานิสถาน ปี 2544
และเรื่องฮือฮากันทั่วโลก คือการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกของสหรัฐในยุคไบเดน กับจีน ยุติโดยไม่มีมติใดร่วมกัน บ่งชี้สัญญาณตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ
รายงานจากเมืองแองเคอราจ รัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ว่านายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ กล่าวเมื่อวันศุกร์ หลังเสร็จสิ้นการพบหารืออย่างเป็นทางการครั้งแรกเป็นเวลา 2 วัน กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลปักกิ่ง คือนายหยาง เจียฉือ ประธานคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์กลางของพรรคคอมมิวนิสต์ และนายหวัง อี้ รมว.การต่างประเทศจีน ว่ารัฐบาลวอชิงตันได้มีโอกาส “ถ่ายทอดความวิตกกังวล” ที่มีต่อสถานการณ์ในซินเจียง ฮ่องกง และทะลจีนใต้ ตลอดจนความสัมพันธ์กับไต้หวัน
ส่วนท่าทีจากกระทรวงการต่างประเทศในกรุงปักกิ่งนั้น นายจ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ตำหนิบลิงเคน และนายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านนโยบายความมั่นคงแห่งชาติว่า มีท่าทีที่ข่มขู่และคุกคามให้เกิดความขัดแย้งในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และยังเดินหน้า “สร้างเรื่องดราม่า” เพื่อกดดันให้จีนต้องตอบสนองอย่างความต้องการของสหรัฐอย่างมาก
เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เป็นไปตามคำทำนายของAlastaire Crooke อดีตสายลับ MI-6 ของอังกฤษ ที่ปัจจุบันเป็นนักการทูต นักคิด นักเขียน ได้ออกมายอมรับว่าเปโตรดอลลาร์ ซึ่งเป็นเสาหลักของมหาอำนาจทางการเงิน เศรษฐกิจและการทหารของสหรัฐฯตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา กำลังจะเข้าสู่จุดจบเนื่องจากความสัมพันธ์ที่ตรึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซียและจีน และการค้าที่ไม่ใช้ดอลลาร์ที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว