จีน-รัสเซียจับมือทิ้งดอลลาร์สหรัฐ!?!ประกาศเปรี้ยงใช้สกุลเงินตัวเองทำธุรกรรมทุกชนิด ส่งสัญญาณจุดจบเปโตรดอลลาร์!

6350

การที่จีนและรัสเซีย เปิดหน้าชกสหรัฐประกาศจับมือทิ้งดอลลาร์สหรัฐอย่างเป็นระบบ ส่งผลสะเทือนทางเศรษฐกิจและการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ทั้งสองประเทศมีแสนยานุภาพทางทหารหนุนอีกต่อหนึ่ง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่สหรัฐและพันธมิตรตะวันตกจะเพิกเฉยได้  ที่ผ่านมาโลกคุ้นเคยกับโครงสร้างพื้นฐานระบบอเมริกันและดอลลาร์ แต่ต่อไปโลกจะเริ่มเคยชินกับโครงสร้างพื้นฐานสกุลเงินที่หลากหลายขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าโลกใบนี้ไม่ได้มีมหาอำนาจเพียงผู้เดียวอีกต่อไปแล้ว (unipolar world) แต่มีมหาอำนาจหลายฝ่าย (multipolar world)ที่ซับซ้อนมากขึ้น ตราบใดที่การแข่งขันช่วงชิงการนำยังดำเนินอยู่ต่อไป นับวันมีแต่จะสร้างความตึงเครียดแก่โลกมากขึ้น ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ การค้า-การลงทุน มิติทางการเมือง-ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และมิติทางการทหาร

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองกุ้ยหลิน สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2564 ว่า นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรมว.การต่างประเทศจีน ให้การต้อนรับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.การต่างประเทศรัสเซีย ในโอกาสพบหารือกันอย่างไม่เป็นทางการ ที่เมืองกุ้ยหลิน ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เมื่อวันจันทร์ที่ 23 มี.ค.2564 ที่ผ่านมาส่

ทั้งสองประเทศเห็นพ้องร่วมกันในการ ลดการพึ่งพาการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และระบบการชำระเงินของตะวันตก เพื่อตอบโต้การครอบงำเบ็ดเสร็จของตะวันตกและการบีบบังคับเลือกข้างต่อต้านการเติบโตทางเทคโนโลยีของทั้งสองประเทศ

นายลาฟรอฟให้สัมภาษณ์สื่อจีนก่อนเริ่มการเยือนว่า รัฐบาลรัสเซียและจีนล้วนถูกบีบให้ต้องพัฒนาโดยไม่พึ่งพารัฐบาลสหรัฐ เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐพยายามตีกรอบการพัฒนาทางเทคโนโลยีของทั้งสองประเทศ รอยเตอร์อ้างบทสัมภาษณ์ของเขาว่า จีนและรัสเซียจำเป็นต้องลดความเสี่ยงที่จะถูกคว่ำบาตรด้วยการส่งเสริมความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีของตัวเอง โดยเปลี่ยนมาใช้ระบบการชำระเงินด้วยสกุลเงินของตนเองและของโลกเพื่อเป็นทางเลือก  แทนการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และต้องอยู่ให้ห่างจากระบบการชำระเงินโลกที่ถูกตะวันตกควบคุมมายาวนาน

ก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์โกลบอลไทมส์รายงานว่า การเยือนของนายลาฟรอฟเป็นสัญญาณว่า ความร่วมมือใกล้ชิดของสองประเทศจะช่วยชดเชยผลที่เกิดจากการก่อปัญหาของสหรัฐ อีกทั้งมีความหมายอย่างยิ่ง เพราะรัสเซียเป็นประเทศแรกที่จีนแบ่งปันข้อมูลและความคิดเห็นในประเด็นสำคัญ หลังจากที่มีการประชุมแบบพบหน้าครั้งแรกกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ ที่เมืองแองคอราจ ในรัฐอะแลสกาเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งผลออกมาเป็นการปะทะคารมไม่มีใครยอมใคร จนไร้ข้อสรุปเรื่องการปรับปรุงสัมพันธภาพระหว่างสองประเทศ

สัญญาณเผชิญหน้าของมหาอำนาจโลกชัดเจนมากขึ่น เมื่อโจ ไบเดน ปธน.สหรัฐประกาศลั่น จะไม่มีวันยอมให้จีนแซงหน้าสหรัฐอเมริกาได้

เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มี.ค. 2564ที่ผ่านมา หลังจากรัสเซียและจีนประกาศทิ้งเงินสกุลดอลลาร์ชัดเจน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ประกาศว่า “จีนต้องเดินตามระเบียบโลก” และตราบใดที่เขายังเป็นผู้นำสหรัฐ อเมริกาจะพัฒนามากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ จนอีกฝ่ายไม่สามารถแซงหน้าได้ในทุกๆด้าน

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวในช่วงหนึ่งของการแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 มี.ค.2564  ในประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีน ว่า รัฐบาลวอชิงตันไม่เคยมีความประสงค์เผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แต่การแข่งขันเป็นภาวะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สหรัฐมีจุดมุ่งหมายหมายแน่วแน่และชัดเจนในการทำให้จีนปฏิบัติตาม “กฎระเบียบโลก” เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม การค้าสองฝ่ายด้วยความเท่าเทียม และการเคารพในหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน

จีนเป็นประเทศที่มี “เป้าหมายชัดเจน” ในทุกด้าน โดยเฉพาะการก้าวขึ้นสู่การเป็นประเทศมหาอำนาจ ที่อยู่แถวหน้าของโลก การเป็นประเทศมีฐานะทางเศรษฐกิจมั่งคั่งที่สุดในโลก และการเป็นประเทศทรงอิทธิพลที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม “ความใฝ่ฝัน” เหล่านั้นของรัฐบาลปักกิ่ง จะไม่มีทางเกิดขึ้น ตราบใดที่เขายังอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐ เนื่องจากอเมริกาจะเร่งพัฒนาให้ทิ้งห่างออกไปอีกหลายช่วงตัว

ขณะเดียวกัน ผู้นำสหรัฐกล่าวถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ว่าผู้นำจีน “เป็นคนแบบเดียวกัน” กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย นั่นคือมีความเชื่อมั่นว่า การปกครองแบบอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่บุคคลเพียงคนเดียว “เป็นกระแสแห่งอนาคต” และระบอบประชาธิปไตย “ใช้ไม่ได้ผลกับโลกปัจจุบันอันซับซ้อน” นั่นเป็นเพราะประธานาธิบดีจีน “ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ในสายเลือด” อย่างไรก็ตาม ผู้นำจีนเป็นคนฉลาดและเฉลียว

ย้อนกลับไปเมื่อต้นเดือนนี้ ไบเดนเรียกปูตินว่า “ฆาตกร” จุดชนวนความตึงเครียดทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ ด้วยการที่รัสเซียเรียกกลับเอกอัครราชทูตประจำกรุงวอชิงตัน และตอบโต้ไบเดนว่า เป็นคนประเภทเดียวกัน

ต่อมา นายชุย เต๊งไก๋ เอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงวอชิงตัน แถลงตอบโต้คำกล่าวของปธน.ไบเดนว่า เป้าหมายในการสร้างชาติของจีน คือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคนให้ดีขึ้น ประชาชนทุกคนในจีนต้องมีความอยู่ดีกินดี ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อเอาชนะสถานเดียว หรือเพื่อนำตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งแทนประเทศใดในโลกนี้  พร้อมทั้งเน้นว่า “การสร้างความแตกแยกบนโลก” จะไม่มีทางทำให้มนุษยชาติสามารถเอาชนะโรคโควิด-19 ภาวะโลกร้อน และปัญหาความยากจนได้อย่างแน่นอน

ก่อนหน้าปธน.ไบเดนประกาศกร้าว ทีมงานห้าวของเขา ทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาความมั่นคง ต่างเดินสายพบปะสมาชิกกลุ่มQUAD อย่างเอาการเอางานและ ที่ฮือฮาล่าสุด คือการปะทะคารมดุเดือนในงานประชุมสุดยอดอะแลสกากับทีมรัฐบาลปักกิ่ง 

ก่อนหน้าวันประชุมร่วมกับจีน ทีมนี้ก็เดินสายไปคุยในที่ประชุมนาโต้ ประกาศลั่นว่าสหรัฐจะยกระดับนาโต ต้านทานรัสเซีย-จีนอย่างโจ่งแจ้ง

ในวันพุธที่ 24 มี.ค. 2564ในที่ประชุมนาโต(องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ) กรุงบรัสเซลส์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวต่อที่ประชุมแสดงความมุ่งมั่นเป็นผู้นำในการ “ฟื้นฟู” สหภาพทางทหารแห่งนี้ในทุกมิติ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการเผชิญหน้ากับรัสเซียและจีน

 

บลิงเคนกล่าวว่า เพื่อส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นของสหภาพทางทหารแห่งนี้ และเรียกร้องความเป็นเอกภาพภายในสมาชิกทั้ง 30 ประเทศรวมถึงสหรัฐ เพื่อให้สามารถต้านทานกับความท้าทายทางทหารจากรัสเซียและจีน ซึ่งยังคงต้องการทำลายเสถียรภาพด้านความมั่นคงทางทหารของนาโต และโลกตะวันตก

ทั้งนี้ บลิงเคนเน้นมาตรา 5 ในกฎบัตรนาโตที่มีสาระสำคัญ คือการที่สมาชิกนาโตประเทศใดก็ตาม ถูกโจมตีหรือกำลังจะตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางทหาร ให้ถือว่า เป็นการโจมตีสมาชิกที่เหลือเช่นกัน นาโตเคยใช้อำนาจตามมาตราดังกล่าวเพียงครั้งเดียว นั่นคือการร่วมกันส่งทหารเข้าไปประจำการในอัฟกานิสถาน ปี 2544

และเรื่องฮือฮากันทั่วโลก คือการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกของสหรัฐในยุคไบเดน กับจีน ยุติโดยไม่มีมติใดร่วมกัน บ่งชี้สัญญาณตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ

รายงานจากเมืองแองเคอราจ รัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ว่านายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ กล่าวเมื่อวันศุกร์ หลังเสร็จสิ้นการพบหารืออย่างเป็นทางการครั้งแรกเป็นเวลา 2 วัน กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลปักกิ่ง คือนายหยาง เจียฉือ ประธานคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์กลางของพรรคคอมมิวนิสต์ และนายหวัง อี้ รมว.การต่างประเทศจีน ว่ารัฐบาลวอชิงตันได้มีโอกาส “ถ่ายทอดความวิตกกังวล” ที่มีต่อสถานการณ์ในซินเจียง ฮ่องกง และทะลจีนใต้ ตลอดจนความสัมพันธ์กับไต้หวัน

ส่วนท่าทีจากกระทรวงการต่างประเทศในกรุงปักกิ่งนั้น นายจ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ตำหนิบลิงเคน และนายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านนโยบายความมั่นคงแห่งชาติว่า มีท่าทีที่ข่มขู่และคุกคามให้เกิดความขัดแย้งในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และยังเดินหน้า “สร้างเรื่องดราม่า” เพื่อกดดันให้จีนต้องตอบสนองอย่างความต้องการของสหรัฐอย่างมาก

เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เป็นไปตามคำทำนายของAlastaire Crooke อดีตสายลับ MI-6 ของอังกฤษ ที่ปัจจุบันเป็นนักการทูต นักคิด นักเขียน ได้ออกมายอมรับว่าเปโตรดอลลาร์ ซึ่งเป็นเสาหลักของมหาอำนาจทางการเงิน เศรษฐกิจและการทหารของสหรัฐฯตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา กำลังจะเข้าสู่จุดจบเนื่องจากความสัมพันธ์ที่ตรึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซียและจีน และการค้าที่ไม่ใช้ดอลลาร์ที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว