มุขเดิม ๆ อีกแล้ว? “ปิยบุตร” ปลุกระดม ค้านลงประชามติ “เพื่อไทย” รับลูกต่อ ปล่อยเฟคนิวส์ ระวังขบวนการล้มเสียงโหวต!?

1853

ภายหลังจากคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมมนูญ ฉบับเต็มออกมาแล้ว จนได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า ต้องมีการลงประชามติ 2 ครั้ง ยังไม่สามารถโหวตวาระ 3 ได้ เพราะต้องรอลงประชามติก่อนนั้น

ล่าสุดทางด้านนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) แถลงว่า ผลการประชุมวิป 3 ฝ่าย ให้ฝ่ายกฎหมายสภาฯไปหาทางออก เรื่องคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญ จะสามารถเดินหน้าโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ได้หรือไม่ ถ้าฝ่ายกฎหมายให้โหวตวาระ 3 ได้ ก็เดินหน้าโหวตต่อ แต่ถ้าเห็นว่า ไม่สามารถโหวตวาระ 3 ได้ เชื่อว่าจะมีสมาชิกบางส่วนเสนอให้ถอนวาระร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมออกจากวาระประชุมในวันที่ 17 มี.ค. โดยใช้มติของที่ประชุมรัฐสภา แต่ฝ่ายค้านจะสู้เต็มที่ เพื่อให้มีการเดินหน้าโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ไม่เห็นด้วยให้ถอนวาระ

ถึงจะแพ้เสียงข้างมาก จะรณรงค์ต่อไปว่า หากให้ถอนร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแล้ว จะดำเนินการอย่างไรต่อ จะยกร่างใหม่ได้หรือไม่ และใครจะเป็นคนยกร่างใหม่ ถ้ายกร่างใหม่จะยกร่างใหม่ทั้งฉบับหรือเป็นรายมาตรา ที่สำคัญกลัวว่า เมื่อถอนเรื่องไปแล้ว จะอ้างอิงรัฐธรรมนูญบทใดมายกร่างใหม่ ถ้าไม่มีใครให้คำตอบได้ แสดงว่า การแก้รัฐธรรมนูญจบไม่สามารถเดินได้ ทั้งการยกร่างใหม่ทั้งฉบับและรายมาตรา

ฝ่ายค้านยังเชื่อโดยสุจริตใจว่า คำวินิจฉัยกลางศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุให้ทำประชามติก่อนนั้น หมายถึงให้ทำประชามติหลังจากที่มี ส.ส.ร.แล้ว ไม่ใช่ทำประชามติก่อนที่จะยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ทำอยู่ในขณะนี้ ฝ่ายค้านยืนยันให้เดินหน้าโหวตวาระ 3 เชื่อว่าเรื่องนี้จะมีการถกเถียงในที่ประชุมรัฐสภา วันที่ 17 มี.ค.อย่างเข้มข้นแน่นอน

ส่วนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ ในที่ประชุมรัฐสภาวันที่ 17 มี.ค.นั้น มีข้อกังวลในเนื้อหากฎหมายที่ระบุว่า การทำประชามติ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงประชามติ มีจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ ขณะนี้มีผู้มีสิทธิออกเสียงทั่วประเทศ 50 ล้านคน จึงต้องมีผู้มาใช้สิทธิเกิน 25 ล้านคน จึงจะทำให้การทำประชามติมีผล ซึ่งเป็นไปได้ยาก กังวลว่า จะเปิดช่องให้ล้มประชามติได้ง่าย ควรแก้ไขใหม่โดยให้ใช้เสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเท่านั้น เกรงว่า ผู้ที่ไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญอาจไปรณรงค์ให้ประชาชนนอนอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ต้องมาใช้สิทธิ ล้มการทำประชามติ จนมีผลกระทบต่อการแก้รัฐธรรมนูญ


ขณะที่การเคลื่อนไหวของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า ข้อเสนอเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ มองความเป็นไปได้ใหม่ในการสถาปนารัฐธรรมนูญของประชาชน และได้ถึงประเด็นนี้ในห้องคลับเฮ้าส์ ที่ตั้งหัวข้อไว้ว่า ” ถกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน เตรียมดักคอ ส.ว. อย่าตีความมั่ว”

ส่วนทางด้านดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ได้แสดงความคิดเห็น ถึงฝ่ายที่ไม่อยากให้มีการทำประชามติ ระบุว่า “จบนะ เคารพประชาชน เพราะเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องทำประชามติ ก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ส่วนพรรคใกล้กาว สามสัส ปลดแอก ทั้งหลายแหล่ มึงจงเคารพประชาชน มึงจงเคารพประชามติ มึงอย่าเป็นพวกขี้แพ้ชวนตี ไม่เช่นนั้นจะโดนประชาทัณฑ์”

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ ทางด้านดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” ก็วิเคราะห์ไว้ด้วยว่า “#การอ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้อง นอกจากอ่าน “รัฐธรรมนูญ” แล้ว เราสมควรอ่าน “ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ” ด้วยครับ

เพราะใน “ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ” ได้อธิบาย หมวด ๑๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ไว้อย่างละเอียดดีแล้ว

จริง ๆ เราไม่จำเป็นต้องรบกวนศาลรัฐธรรมนูญเสียด้วยซ้ำ ถ้าเราอ่าน “รัฐธรรมนูญ” ควบคู่กับ “ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ” เพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๔/๒๕๖๔ ก็ยืนยันหลักการพื้นฐานที่ปรากฏใน “ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ”

เพียงเท่านี้เราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองแย่ ๆ และนักสำเร็จความใคร่ทางวิชาการอย่างปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ชอบบิดเบือนกฎหมายแบบมั่ว ๆ โดยการคิดเองเออเอง แล้วฉวยโอกาสสร้างเงื่อนไขของความขัดแย้ง นำไปสู่วิกฤตการณ์ของความแตกแยกและความรุนแรง ทีนี้เข้าใจแล้วหรือยังครับว่า ทำไมเราถึงจำเป็นต้องมีศาลรัฐธรรมนูญไว้ชี้ขาดข้อกฎหมายรัฐธรรมนูญ?”

คำวินิจฉัยกลางศาลรัฐธรรมนูญทำให้ ปิยบุตร ว่าวขาดรุ่งริ่ง
ปิยบุตรก็แค่นักสำเร็จความใคร่ทางวิชาการ บิดเบือนกฎหมายตามอำเภอใจของตัวเอง