ถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยออกมาหรือไม่ หรือจะมีผลออกมาอย่างไร สำหรับผู้กองธรรมนัส ที่ต้องลุ้นระทึก เพราะไม่เพียงต้องหลุดจากส.ส.เท่านั้น หากแต่ตำแหน่งรัฐมนตรี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้องพ้นจากวงโคจรของอำนาจ นี่จึงเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย อย่าลืมว่าคนผู้นี้คือมือไม้สำคัญของพลังประชารัฐ เป็นคนทำงานของบิ๊กป้อม พี่ใหญ่แห่ง3ป. !?!
โดยจากที่ ส.ส. 51 คน เข้าชื่อร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานะทางการเมืองของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากกรณีเคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายอันถึงที่สุดว่าได้กระทำผิดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้าซึ่งยาเสพติด ที่แม้เป็นคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ
ทั้งนี้กรณีดังกล่าวย่อมทำให้ผู้ถูกร้องเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส. สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) และความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (6) และมาตรา 98 (10) หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้นัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ ลงมติ และอ่านคำวินิจฉัย คดีสมาชิกภาพ ส.ส. และความเป็นรัฐมนตรีของ ร.อ.ธรรมนัส ว่าจะสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในวันที่ 5 พ.ค. เวลา 15.00 น. โดยมีถ่ายถอดสดผ่านช่องยูทูปสำนักงานศาล
ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยว่า พร้อมน้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำใจไว้แล้ว ถ้าเป็นบวกตนก็เดินหน้าทำงานทางการเมืองต่อ แต่ถ้าเป็นลบตนก็จะไปทำธุรกิจซึ่งไม่ได้กังวลใด ๆ รู้สึกเฉย ๆ
สำหรับ ร.อ.ธรรมนัส หรือ ผู้กองธรรมนัส ต้องถือว่าเป็นคนสำคัญ ที่กำลังแผ่บารมีภายในพรรคพลังประชารัฐ ด้วยความสามารถ เป็นมือทำงาน มือประสานที่ว่ากันว่า หัวหน้าพรรคอย่าง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความไว้วางใจในการมอบหมายงานพรรคให้ทำ อย่างล่าสุดก็นำพา ส.ส.เข้าสภาฯ เพิ่มให้พรรคได้อีกหนึ่งเสียงจากการเลือกตั้งซ่อมที่นครศรีธรรมราช
นั่นเองที่ทำให้มีคำสั่งที่ 85/2564 เรื่องมอบหมายให้รัฐมนตรี รับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างหนัก เนื่องจากรัฐมนตรี แต่ละกระทรวงกำลังเร่งทำโครงการบริหารพื้นที่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงตนเอง และกำลังเร่งสานงานในพื้นที่ที่ทำไว้เดิมให้ประสบความสำเร็จ จึงอยากดูแลพื้นที่เดิม
โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ที่ ร.อ.ธรรมนัส ได้รับมอบหมายให้เข้าไปดูแลพื้นที่บางจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งเดิมผู้กองธรรมนัส ดูแลพื้นที่จังหวัด พะเยา เชียงราย และหนองบัวลำภู แต่กลับเปลี่ยนมาให้ดูแลพื้นที่จังหวัดสงขลา นครศรีธรรมราช และภูเก็ต ที่เป็นความรับผิดชอบเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งว่ากันว่าสามจังหวัดดังกล่าวนี้มีจำนวนผู้แทนฯมากที่สุดด้วย เช่นนี้หรือไม่ ที่พลังประชารัฐส่ง ร.อ.ธรรมนัส ลงมาเพื่อเตรียมหากมีเลือกตั้งครั้งใหม่
อย่างไรก็ตาม ร.อ. ธรรมนัส เริ่มอาชีพนักการเมืองอย่างเป็นทางการภายใต้สังกัดพรรคพลังประชารัฐ โดยเป็น ส.ส. สมัยแรกที่ได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีทันที แม้ว่าช่วงที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)รัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 ก็ได้ปรากฏว่า ร.อ. ธรรมนัส ก็ถูก คสช. เรียกไปรายงานตัวพร้อมกับ “ลูกพี่คนสนิท” อย่าง พล.อ. ไตรรงค์ อินทรทัต หรือ “เสธ.ไอซ์” เพื่อนเตรียมทหาร (ตท.) รุ่น 10 ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ยังพบว่า ก่อนเข้ามาอยู่ใต้ชายคา พลังประชารัฐ ร.อ. ธรรมนัส เคยอยู่ภายใต้สังกัด “พรรคทักษิณ” มาเกือบทศวรรษ เคยเป็นสมาชิก ทรท. ตั้งแต่ยุคสร้างพรรคปี 2542 ร่วมทำพื้นที่ กทม. ในยุครุ่งเรืองปี 2548 ก่อนลงสมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับที่ 55 ในนามพรรคเพื่อไทย ในศึกเลือกตั้งปี 2557 ทว่ายังไม่ทันได้เข้าสภา เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนั้นกลายเป็นโมฆะ
กระนั้นเส้นทางการเมืองของ ร.อ. ธรรมนัส ก็ประสบความสำเร็จ โดยสร้างเกียรติประวัติทางการเมืองให้ตัวเองในการเลือกตั้งปี 2562 โดยล้มแชมป์เก่าจากพรรคเพื่อไทย ได้เป็น ส.ส.พะเยา เขต 1 ด้วยคะแนนเสียง 52,417 คะแนน
ไม่เพียงเท่านั้น ในฐานะประธานกรรมการยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือของพรรคพลังประชารัฐ ผู้กองธรรมนัส ยังหอบหิ้วลูกทีมเข้าสภาได้ถึง 25 คน จาก ส.ส. ภาคเหนือทั้งหมด 61 คน แม้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ราว 38-40 คน แต่ตัวเลขที่ออกมาถือว่าน่าพอใจ เป็นรองเพียงเจ้าถิ่นคือพรรคเพื่อไทย ที่นำ ส.ส. เหนือเข้าสภาได้ 28 คน และเหตุนี้ที่ผลงานเข้าตาทำให้ ส.ส. สมัยแรกอย่างเขา ก้าวกระโดดขึ้นเป็นรัฐมนตรีทันที ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาล “ประยุทธ์2/1″นี่เอง