แกะรอยกลุ่มเจ๊หน่อยตีแสกหน้า6พรรคฝ่ายค้าน แก้รธน.ต้องทำประชามติก่อน จี้เลื่อนโหวตวาระ3

2588

ดูเหมือนจะคลายข้อสงสัยสำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่ารัฐสภามีอำนาจหน้าที่แก้รัฐธรรมนูญได้หรือไม่ แต่กลับถูกฝ่ายค้านและแนวร่วมม็อบตีความเฉไฉ อันจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่บานปลาย ทั้งที่ทางออกเปิดแล้วไม่ทำ นั่นคือ ใช้เสียงประชาชนโหวตก่อนจะให้แก้หรือไม่???

ทั้งนี้จากเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 ศาลรัฐธรรมนูญ ได้เผยแพร่ คำวินิจฉัย การลงมติ การวินิจฉัยคำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวัน และนายสมชาย แสวงการ สมาชิกรัฐสภา ที่ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจรัฐสภาในการตั้ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่

โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ลงมติ 8 ต่อ 1 เห็นว่ารัฐสภามีอำนาจหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้วลงประชามติอีกครั้ง

ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2564 นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน แถลงยืนยันเดินหน้าโหวตวาระ 3 ร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 256 และตั้งหมวด ส.ส.ร.ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ย้ำรัฐสภาควรเดินหน้าต่อเพื่อไม่ให้ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาล ซึ่งเป็นวาระที่ค้างอยู่แล้ว แต่ก็เห็นว่าอาจมีบางส่วนไม่เห็นด้วย

ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวย้ำ 4 ประเด็น คือ 1.ยืนยันอำนาจรัฐสภาในการแก้รัฐธรรมนูญ ที่ไม่ควรมาจากวิธีการล้มล้างการปกครอง 2. คำวินิจฉัยของศาลที่ออกมาคล้องกับกระบวนการที่รัฐสภาดำเนินการอยู่ ที่เป็นการแก้ไขแบบรายมาตราไม่ใช่การยกร่างฉบับใหม่ หากมีการตีความให้เป็นโมฆะถือว่าเป็นการตีความที่ไม่เห็นหัวประชาชน 3.หากมีใครโหวตคว่ำร่างฯในครั้งนี้ก็จะแสดงให้เห็นว่าใครไม่จริงใจในการแก้รัฐธรรมนูญ และ 4.เรียกร้องให้รัฐบาลทำประชามติถามประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 166 ว่าต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

ส่วนนายวันมูฮะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวด้วยว่าต้องเดินหน้าโหวตวาระ 3 ชี้ควรพิจารณาวาระโหวตร่างรัฐธรรมนูญก่อน หากเอาเรื่องอื่นขึ้นมาพิจารณาแทรกอาจทำให้วาระการพิจารณาเรื่องนี้ต้องตกไป ก่อนจะย้ำว่ารัฐบาล ส.ส. และ ส.ว. คงได้เห็นวิกฤตของบ้านเมืองที่จะต้องแก้ไขหากแต่ร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำตีตกไปหรือถูกละเลยก็จะเป็นการกระทำที่แย้งต่อคำวินิจฉัยของศาล โดยคาดหวังให้การโหวตวาระ3 เป็นไปด้วยดี เพื่อให้ปัญหาบ้านเมืองผ่านพ้นไปได้พร้อมกันนี้ยังกล่าวถึงฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม ไม่จริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะล้มความต้องการของประชาชนโดยขอให้รัฐสภาเห็นหัวของประชาชนบ้าง

ด้านนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ กล่าวในช่วงท้ายของการแถลงของพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า ขอให้รัฐสภาเห็นแก่ชาติบ้านเมืองอย่าเห็นแก่ตัว ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภาที่สามารถดำเนินการได้

ล่าสุด ที่ทำการชั่วคราวกลุ่มสร้างไทย ย่านลาดปลาเค้า แกนนำกลุ่มสร้างไทยร่วมแถลงข่าวถึงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายโภคิน พลกุล แกนนำกลุ่มสร้างไทย กล่าวว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากรัฐสภาจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงมติเสียก่อน เมื่อทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้วต้องให้ประชาชนลงมติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง

“กลุ่มสร้างไทยขอเสนอให้รัฐสภาและรัฐบาลเลื่อนการลงมติการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวาระ3 ออกไปก่อน เพื่อรอการทำประชามติสอบถามประชาชนตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อรักษาสมดุลแห่งอำนาจในการลงมติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญระหว่างส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ให้ยังคงเป็นเช่นเดิมไปพลางก่อน

ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังพิจารณาในรัฐสภาเป็นร่างของพรรคร่วมรัฐบาล เป็นเรื่องที่กระทบประโยชน์ของประเทศและประชาชน นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีควรเร่งดำเนินการปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฏรและประธานวุฒิสภาเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงประชามติ

ทางออกเดียวที่จะนำพาประเทศชาติออกจากวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองคือ การคืนอำนาจให้ประชาชนได้ โดยการเลือกตั้ง สสร. มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งทำประชามติในประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยโดยเร็วซึ่งถ้าพิจารณาดูแล้วจะใช้เวลาทำประชามติให้แล้วเสร็จได้ภายในไม่เกิน 90วัน ตามกฎหมายประชามติที่ยังมีผลบังคับใช้ เพื่อให้ปัญหาทางการเมืองของประเทศได้รับการคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีต่อไป”นายโภคิน กล่าว

นั่นคือท่าทีของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่แน่นอนว่าต้องการลุยไฟจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้ทั้งฉบับไม่สนใจต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญโดยตีความเข้าข้างฝ่ายตนเอง ขณะที่ท่าทีของกลุ่มสร้างไทยที่คุณหญิงสุดารัตน์ นำแยกตัวออกมาจากพรรคเพื่อไทยชัดเจนว่า ยืนอยู่อีกข้างด้วยจุดยืนยึดคำสั่งศาลให้ทำประชามติถามประชาชนก่อนลงมือแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเชื่อว่าดับวิกฤติความขัดแย้งได้!!!