กลายเป็นประเด็นร้อนในแวดวงสีกากีขึ้นมาอีกครั้ง ทันที่มีชื่อของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) และคณะทำงานศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ)
ที่เคยเป็นข่าวโด่งดังในวงการตำรวจ ก่อนจะหายเงียบไป และมาปรากฏเป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ลงนามในคำสั่งเพื่อโอนย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กลับเข้ารับราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และในปี 2563 มีเบาะแสข่าวลือหนาหู ถึงความไม่ลงรอยกันในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อเกิดเหตุคนร้ายยิงรถยนต์ ยี่ห้อเล็กซัส สีขาว ทะเบียน 9 กจ351 กรุงเทพมหานคร ของ “บิ๊กโจ๊ก” งานนี้กลับสะเทือนถึง “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในขณะนั้น ต่อมาก็ได้มีการขุดปมความขัดแย้งจาก โครงการไบโอเมตริกซ์ หรือข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล ที่อยู่ในความดูของ สำนักงานงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ที่ผ่านยุค “บิ๊กโจ๊ก” มาถึงยุคของ “บิ๊กอู๊ด” พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง นั่งเก้าอี้ผบช.สตม. แต่ยังไม่สามารถดำเนินโครงการได้
ว่ากันว่าโครงการหลักพันล้านบาท มีหลายบิ๊กตำรวจจ้องตาเป็นมัน แต่ยังติดขัดอยู่ในขั้นตอนการอนุมัติโครงการ เนื่องจาก “บิ๊กสตช.” และ“บริษัทเอกชน” ตีไพ่กันหลายหน้า แจ้นฟ้อง “นาย” กล่าวหากันไปมา
แต่ตอนนั้นที่เกิดขึ้นยิงขึ้น “บิ๊กโจ๊ก” ส่งสัญญาณยิงตรงไปที่ “บิ๊กแป๊ะ” ให้รับผิดชอบเรื่องนี้ หากไม่สามารถจับคนร้ายมือยิงรถเก๋งของตนเองได้ ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่พล.ต.อ.จักรทิพย์จะเกษียณอายุราชการแล้ว จนทุกวันนี้ยังไม่สามารถตอบได้กระจ่างว่า ใครคือคนร้ายมือยิงบิ๊กโจ๊ก
ต้องบอกว่าที่ผ่านมาในการทำงานของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มีผลงานโดดเด่นมาตลอด จนเป็นที่รู้กันดีว่า หลังจากพล.ต.อ.จักรทิพย์ จะเกษียณ ตำแหน่งผบ.ตร. คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่แล้วเส้นทางบนถนนสีกากีต้องสะดุด เมื่อได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อ 6 เม.ย. 2562 โดยให้ขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิม
นอกจากชื่อของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ที่เคยคาดการณ์ว่าเหมาะสมจะขึ้นชิงตำแหน่งผบ.ตร.แล้ว ยังมีอีกหนึ่งคนที่เป็นตัวเต็งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย นั่นก็คือ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา หรือ “บิ๊กต้อย” นายตำรวจผู้มีเฟซบุ๊กแฟนเพจที่มีผู้ติดตามกว่า 1 แสนคน เป็นอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีผลงานสำคัญและเป็นคดีดังที่หลายคนรู้จัก คือทลายเครือข่าย “เมจิกสกิน” เริ่มจาก จับเจ้าของธุรกิจ ค้นโรงงานผลิต จนกระทั่งออกหมายเรียกศิลปินดารา ที่รับรีวิวสินค้าเครือดังกล่าว นอกจากนี้ยังจับกุมคดีดังอีกหลายคดีที่เกี่ยวกับยาลดความอ้วน เครื่องสำอาง อาหารเสริมต่าง ๆ อีกด้วย
แต่ก็ไม่รู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกหรืออะไร เพราะในช่วงบั้นปลายของชีวิตรับราชการ กลับโดนสั่งเด้ง โดยมีการเผยแพร่เอกสารอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 31 ส.ค.63 ที่ลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง “ให้ข้าราชการตำรวจพ้นจากตำแหน่ง” ให้พล.ต.อ.วิระชัย พ้นจากตำแหน่งรองผบ.ตร. ถือเป็นนัยยะสำคัญว่า พล.ต.อ.วิระชัย ไม่มีตำแหน่งใด ๆ ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกแล้ว
โดยก่อนหน้านี้ทางด้านพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีคำสั่ง ตร.ที่ 387/2563 ลงวันที่ 29 ก.ค.63 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจสำรองราชการ ระบุว่า ตามคำสั่ง ตร.ที่ 383/2563 ลงวันที่ 24 ก.ค.63 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง
โดยมีพฤติการณ์และการกระทำเข้าลักษณะมีเจตนาเปิดเผยความลับของทางราชการ และฝ่าฝืนระเบียบคำสั่งว่าด้วยการให้ข่าวสัมภาษณ์ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของ ตร.อย่างร้ายแรง ประกอบกับกองบังคับการปราบปรามได้รับคำร้องทุกข์ในกรณีกล่าวโทษว่ามีการกระทำอันเป็นการทำผิดต่อรัฐ
ก่อนที่จะมีคำสั่งอย่างเป็นการทางในวันที่ 31 ส.ค. 2563 ในวันที่ 21ส.ค. 2563 พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา อายุ 57 ปี รอง ผบ.ตร. (ตำแหน่งในขณะนั้น) ได้เข้ารายงานต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เป็นโจทก์ ขอยื่นฟ้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อายุ 60 ปี ผบ.ตร. เป็นจำเลย ในความผิดฐาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือผู้หนึ่งผู้ใดได้ประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 57
คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า โจทก์รับราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 2523 ปัจจุบันเป็น รองผบ.ตร.อาวุโสลำดับที่ 1 ส่วน พล.ต.อ.จักรทิพย์ จำเลย เป็น ผบ.ตร. มีอำนาจหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายภายใต้อำนาจหน้าที่ ที่ตนมี แต่จำเลยกลับใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กลั่นแกล้งทำให้โจทก์ (บิ๊กต้อย)ได้รับความเสียหาย
โดยเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2563 เวลากลางคืน เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล (บิ๊กโจ๊ก) อดีตผบช.สตม. ย่านบางรัก ถือเป็นคดีสำคัญเพราะเป็นการกระทำความผิดอาญาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ กทม. และผู้เสียหายเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และเป็นที่สนใจของประชาชนและสื่อมวลชน เนื่องจากในขณะเกิดเหตุดังกล่าว จำเลยไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักร โจทก์ในขณะนั้นรักษาราชการแทนจำเลยในตำแหน่ง ผบ.ตร. มีฐานะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั่วราชอาณาจักรและมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมการปฏิบัติราชการทั้งปวงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติแทนตามกฎหมาย ดังนั้นโจทก์จึงเข้าไปควบคุม กำกับ และเร่งรัดการสืบสวนเพื่อจับกุมคนร้ายได้โดยเร็ว
นอกจากนี้ขณะที่จำเลย (บิ๊กแป๊ะ) อยู่ในต่างประเทศก็ได้โทรศัพท์ติดต่อมายังโจทก์ เมื่อเวลา 21.30 น ซึ่งโจทก์เข้านอนแล้ว ไม่สะดวกที่จะจดบันทึกรายละเอียดในการสนทนา
เพราะเป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วนจึงต้องใช้การ บันทึกเสียงแทนการจดบันทึกการสนทนาเพราะเห็นว่า กรณีคำแนะนำที่สำคัญและเป็นประโยชน์ที่จะได้นำไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานต่อไป
จากบทสนทนาดังกล่าว เห็นได้ว่า จำเลย (บิ๊กแป๊ะ) ได้พูดระบายความรู้สึกในใจของจำเลยที่มีต่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ และตำหนิการกระทำของโจทก์ (บิ๊กต้อย) ที่เข้าไปควบคุมคดีนี้ การสนทนาดังกล่าวจึงไม่เป็นข้อสั่งการทางราชการเพราะขณะนั้น จำเลย(บิ๊กแป๊ะ) อยู่ต่างประเทศ
ไม่มีอำนาจตามกฎหมายสั่งการโจทก์ได้และบทสนทนาดังกล่าวไมใช่ความลับทางราชการ เพราะความลับทางราชการตามกฎหมาย คือข้อมูลข่าวสารที่มีคำสั่งมิให้เปิดเผยและอยู่ในการควบคุมดูแลของรัฐและมีการกำหนดชั้นของความลับไว้เป็นลำดับ
หากพิจารณาบทสนทนาแล้วไม่ได้มีการระบุหรือสั่งการอย่างใดว่า เป็นความลับทางราชการตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ.2544 ข้อ 5 ที่ได้กำหนดนิยามของคำว่า “ข้อมูลข่าวสารลับ”ไว้ดังกล่าว
ช่วงเช้าวันต่อมา พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ได้ติดตามสอบถามความคืบหน้าของคดีดังกล่าว โจทก์ จึงแจ้งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ทราบว่า คดีดังกล่าว จำเลยได้ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดและตำหนิไม่ให้โจทก์เข้าไปควบคุมดูแลคดีนี้อีก และโจทก์ได้ส่งมอบคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวให้พล.ต.ท.สุรเชษฐ์
ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีโดยตรงเพื่อให้ไปติดตามผลการสอบสวนได้อย่างถูกต้องและเพื่อประโยชน์ของการสืบสวนสอบสวน โจทก์ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อราชการ เพราะคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวไม่เป็นความลับราชการและไม่ทำให้ผู้รับฟังเกลียดชังจำเลยหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามความผิดของทั้ง 2 บิ๊กตำรวจ ทั้งบิ๊กโจ๊ก – บิ๊กต้อย ทำให้ต้องพ้นจากเก้าอี้ตำแหน่งสำคัญในสตช. ขณะนั้น และหมายถึงชวดตำแหน่งที่ขึ้นเป็นใหญ่ในองค์กร แน่นอนว่าต่อมาตำแหน่งผบ.ตร.ที่เหมาะสม ตกไปเป็นของ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ได้ขึ้นเป็นผบ.ตร. คนที่ 12 แม้จะมีข้อครหาว่า “บิ๊กปั๊ด” เหมือนปูพรมรอมาตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ต้องลุ้น ยังไงก็ได้ตำแหน่งนี้ เพราะเป็นเพื่อนและน้องคนสนิทของ “บิ๊กแป๊ะ” ที่เจ้าตัวอยากส่งไม้ต่อให้
ดังนั้นการกลับมาของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ในครั้งนี้ ที่หลายคนฮือฮา ไม่ใช่แค่ในแวดวงตำรวจเท่านั้น เพราะกลับคืนมายังถิ่นเดิมในตำแหน่ง ผบช. และมีรายงานอีกว่า ในวันที่ 12 มี.ค.นี้
จะมีการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ต.ช.มีวาระเพื่อเปิดตำแหน่ง 8 ตำแหน่ง ระดับผู้บังคับการ(ผบก.)ยศ พล.ต.ต. 4 ตำแหน่ง และผู้บัญชาการ (ผบช.) ยศ พล.ต.ท. 4 ตำแหน่ง
ทำให้มีการคาดการณ์ว่า หนึ่งในตำแหน่งระดับ ผบช.เป็นไปได้ว่าจะเป็นการรองรับการกลับมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ด้วย และตำแหน่งนี้มีลุ้นที่จะได้ขึ้นเป็นผบ.ตร. คนต่อไป
เนื่องด้วยพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.คนปัจจุบัน อายุ 59 ปี และอีก 1 ปี ที่จะได้กุมอำนาจในสตช. ก็จะต้องเปลี่ยนมือให้บิ๊กตำรวจคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ ดังนั้นน่าจับตามองอย่างยิ่งว่าหากคนที่จะขึ้นมาเป็นผบ.ตร. คนต่อไปคือ “บิ๊กโจ๊ก” จะมีการตามเช็คบิลขบวนการเก่าที่เป็นพวกพ้องของ”บิ๊กแป๊ะ” หรือไม่
เนื่องจากครั้งหนึ่งเคยมีเรื่องผิดใจและเกาเหลากับ “บิ๊กแป๊ะ” ทั้งความคลุมเครือเรื่องธุรกิจสีเทา ตามมาด้วยเหตุการณ์ยิงรถ ที่ยังหาตัวคนทำผิดไม่ได้ และทำให้ต้องเดือดร้อนไปถึงขาเก้าอี้ของ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา มาแล้วด้วย เป็นประเด็นการเมืองร้อน ๆ ที่ห้ามพลาดเด็ดขาด ว่าหลังจากนี้จะมีประเด็นเดือดอะไรเกิดขึ้นในสตช.ได้อีกบ้าง