สหรัฐแดนเถื่อน?? มรดกเกลียดชังทรัมป์ก่อ?!?คลื่นต่อต้านเอเชียขยาย ทำร้ายโหดปล้นชิงกว่า 2,800 ราย ตราหน้าตัวแพร่โควิด??

2544

เป็นเรื่องน่าเศร้ากระแสคลื่นเกลียดชังถาโถมสู่คนเอเซียในแผ่นดินสหรัฐฯในช่วงการระบาดโควิด-19  พุ่งเป้าคนชราที่ไม่อาจตอบโต้ คือมรกดกมืดที่ทรัมป์สร้างด้วยคำพูด “ไวรัสอู่ฮั่น จีนเป็นต้นเหตุให้สหรัฐพินาศ” กระตุ้นสันดานดิบชิงชังรังเกียจคนผิวสีที่ฝังลึกในจิตใจคนอเมริกันและถูกกลบเกลื่อนด้วยภาพวีรบุรุษผู้พิทักษ์ความยุติธรรม วันนี้ ทั้งทำร้าย ปล้นชิง กลางวันแสกๆถี่ขึ้นกว่า 2,800 ราย สร้างความหวาดกลัวแก่ชุมชนชาวเอเซีย จับตาปธน.ไบเดน แก้ปัญหาท้าทายนี้อย่างไร ซึ่งคงไม่ง่ายท่ามกลางความยากลำบากการแพร่ระบาดโควิด-19 กลายพันธุ์ การถดถอยทางเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางความคิดความเชื่อของคนอเมริกันที่มีแนวโน้มรุนแรงถึงขั้นก่อการร้ายภายในประเทศ ตลอดจนความแตกแยกทางการเมืองของคณะผู้บริหารประเทศ ขณะที่สหรัฐภายในการนำของโจ ไบเดน ยังคงยืนยันเดินหน้าก่อสงครามต่อต้านจีนไปทั่วโลก

เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2564 ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Tanyapat Pymolchindhapatt” คนไทยที่อาศัยอยู่ในเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้โพสต์คลิปวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง  ซึ่งวิดีโอดังกล่าวเป็นการยืนยันได้ว่าคนอเมริกันมีพฤติกรรมเหยียดคนเชื้อชาติเอเชีย โดยในคลิปวิดีโอเผยให้เห็นวัยรุ่นอเมริกามีปากเสียงกันอยู่บริเวณริมถนน อย่างไรก็ตาม เมื่อสาวไทยขี่รถสกูตเตอร์ 2 ล้อผ่านมา ชายผิวดำก็ปรี่เข้ามาทำร้ายจนรถคว่ำ ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณหัวเข่าและศีรษะ แต่โชคดีที่เธอสวมอุปกรณ์ป้องกันไว้จึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก แต่สิ่งสำคัญคือ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อจิดใจของสาวไทยรายนี้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ หลังจากที่ชายผิวดำทำร้ายคนไทยเสร็จก็ได้เดินไปขึ้นรถ โดยที่ไม่มีการเข้ามาสอบถามอาการแต่อย่างใด โชคดีที่เพื่อนบ้านสามารถบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ โดยเจ้าตัวหวังว่าจะไม่มีใครต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก

ในวันที่ 28 ม.ค.2564 ที่เมืองซานฟรานซิสโก นายวิชา รัตนภักดีวัย 84 ปี  ถูกทำร้ายร่างกายถูกผลักจากด้านหลังหน้าคว่ำลงพื้นอย่างไร้ความปราณี และเสียชีวิตในที่สุด  อีริก ลอว์สัน ลูกเขยของนายวิชากล่าวว่า “เป็นอีกครั้งที่การเหยียดเชื้อชาตินำมาซึ่งความรุนแรง พฤติกรรมเหยียดชาวเอเชียเป็นอันตรายร้ายแรงต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในซานฟรานซิสโก มันถึงเวลาแล้วที่ผู้เกี่ยวข้องต้องดำเนินการอย่างจริงจัง”

ในเมืองซานโฮเซ หญิงสูงวัยอาวุ 64 ปี ถูกปล้นกลางวันแสกๆในช่วงบ่าย แรงจูงใจในการทำร้ายร่างกายหลายครั้งยังไม่ชัดเจน แต่ผลกระทบขั้นสุดท้ายของการโจมตีเหล่านี้ก็เหมือนกัน  เหตุการณ์เหล่านี้ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับชุมชนชาวเอเชีย-อเมริกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มประชากรที่เปราะบางที่สุดในปัจจุบันและกำลังเผชิญวิกฤตสุขภาพ ปัญหาป่วยติดเชื้อโควิดอยู่แล้ว

“ เราทราบดีว่าการต่อต้านการเหยียดสีผิวในเอเชียที่เพิ่มขึ้น มีผลกระทบร้ายแรง” ซินเทีย ชอยผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรสต๊อพ เอเอพีไอเฮท (Stop AAPI Hate) กล่าวในการแถลงข่าวล่าสุด “ ชุมชนของเรากลัวการอยู่ในที่สาธารณะคนเดียวเพียงแค่ไปเดินเล่นและใช้ชีวิตประจำวัน”  การโจมตีเหล่านี้เกิดขึ้นใกล้เคียงกับการเริ่มต้นของวันหยุดปีใหม่ทางจันทรคติหรือวันตรุษจีน  แต่ไม่แน่ใจว่ามีการเชื่อมโยงหรือไม่?

ในปี 2563 เหตุการณ์ต่อต้านเอเชียเกิดขึ้นทั่วประเทศ ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมามีเหตุการณ์มากกว่า 2,800 ครั้ง ตามสต๊อพ เอเอพีไอเฮท รายงาน ตั้งแต่การล่วงละเมิดทางวาจาและการเลือกปฏิบัติในสถานที่ทำงาน ไปจนถึงการทุบทำลายหน้าร้านและความรุนแรงทางกายภาพ การข่มขืน การข่มเหงรังแก เหล่านี้จำนวนมากดูเหมือนว่า จะได้รับแรงหนุนจากการแสวงหาแพะรับบาปชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย สำหรับการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19  เนื่องจากเชื่อว่ามีต้นกำเนิดในประเทศจีน เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการกระตุ้นและโฆษณาชวนเชื่อโดยอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ใช้คำกล่าวหาและเหยียดผิวต่อจีนในการเรียก “ไวรัสอู่ฮั่น”ตลอดเวลา 

แดเนียล แดคิม นักแสดงได้พยายามเรียกร้องให้สาธารณชนสนใจปัญหานี้โดยเสนอเงินรางวัล 25,000 ดอลลาร์ สำหรับการให้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายชายสูงวัยในโอคแลนด์ (ทำให้ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องสงสัยได้)

ชาวเอเชียรวมถึงผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในหลายประเทศร่วมกันเปลี่ยนภาพโปร์ไฟล์บนบัญชีโซเชียลมีเดียของพวกเขาเป็นภาพวาดนายวิชา รัตนภักดี หลังจากที่เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมาโจนาธาน ดี. ชาง นักออกแบบและวาดภาพประกอบจากลอสแองเจอริสได้เผยแพร่ภาพวาดการ์ตูนที่เขาได้วาดจากภาพถ่ายของนายวิชา เพื่อร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของคุณตาวิชา

นางแมนจุชา คัลคานิ (Manjusha Kulkarni)หัวหน้าสภานโยบายและการวางแผนเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า “มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเปิดเผยความจริงออกไป”   “ส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหานี้คือการให้การศึกษา แก่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเรื่อง ให้รู้ทันความคิดของคนอเมริกันที่มองคนผิวสีเชื้อสายเอเซียว่า เป็นชาวต่างชาติตลอดกาล และไม่เห็นว่าเป็นคนอเมริกัน” เหตุการณ์ความรุนแรงต่อต้านเอเชียเริ่มพุ่งสูงขึ้นเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีกลาย เนื่องจากการระบาดใหญ่โควิด-19 กลายพันธุ์ระลอกใหม่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ส่งผลให้สหรัฐ ยังคงมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 และเสียชีวิตเป็นอันดับ 1 ของโลก  

จากการสำรวจของอิพซอส (Ipsos)ว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียสังเกตเห็นว่ามีคนตำหนิสมาชิกในชุมชนของตนว่าเป็นโรคโควิด -19 คัลคานิเน้นย้ำว่าคำพูดของทรัมป์มีผลอย่างชัดเจนในการกระตุ้นให้เกิดโรคกลัวชาวต่างชาติเอเชีย และกระตุ้นให้เกิดการโจมตี “เรามักจะเห็นความรุนแรงเพิ่มขึ้นหรือความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติเมื่ออดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ปราศรัย เราเห็นว่ามีผลกระทบโดยตรงต่อผู้กระทำความผิด” 

ความรุนแรงที่แพร่ขยายอย่างชัดเจนนี้ ปธน.โจ ไบเดนได้ประณามการเหยียดสีผิวคนเอเชีย และสั่งให้กระทรวงยุติธรรมเริ่มรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการก่อเหตุรุนแรงเหล่านี้ และให้ใช้ภาษาที่ระมัดระวังต่อการเลือกปฏิบัติ ออกจากเอกสารของรัฐบาลกลาง 

ปธน.โจ ไบเดนได้ประกาศนโยบายความเท่าเทียมทางเชื้อชาติตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง  และตั้งใจทำให้ชาติมีความเท่าเทียมกันทางโอกาสแก่คนผิวสีมากขึ้น ปัญหาเหยียดผิวทวีความรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะในสมัยอดีต ปธน.ทรัมป์ กระแสต่อต้านการเหยียดสีผิวจุดติดทั่วประเทศ โดยเฉพาะจากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจอเมริกันผิวขาวทำร้าย จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีถึงแก่ชีวิต  โดยมีปมปัญหามาจากการเหยียดสีผิวเป็นสำคัญ เรื่องนี้ ปธน.ไบเดน สะท้อนความตั้งใจผ่านการเลือกบุคลากรเข้ามาบริหารประเทศ ทั้งการเลือกรัฐมนตรีกลาโหมผิวสีคนแรก และรองประธานาธิบดีนางคามาลา แฮร์ริส ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเท่าเทียมทางเพศและความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ เพราะเธอเป็นทั้งผู้หญิงผิวดำเชื้อสายอินเดียคนแรกและยังเป็นรองประธานาธิบดีหญิงคนแรกด้วย