ม็อบสามกีบสุดถ่อย ไปที่ไหนเละที่นั่น พ่นสี ทุบกระจกรถตำรวจ สน.ปทุมวัน ด้านตำรวจ คุยโว จัดการขั้นเด็ดขาด แต่สุดท้ายไร้น้ำยา ปล่อยม็อบเหยียบจมูก!?!
จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (10 กุมภาพันธ์) กลุ่มคณะราษฎร ได้มีการชุมนุมตีหม้อไล่เผด็จการ ที่สกายวอล์ก หน้า MBK Center และเรียกร้องให้ปล่อยตัว 4 แกนนำ ที่ถูกจับกุมและฝากขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ในระหว่างการชุมนุม ได้เกิดเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้น 3 ครั้งบริเวณจุฬาซอย 5 ด้านหลังสน.ปทุมวัน ทำให้ประชาชนและผู้ชุมนุมแตกตื่นวิ่งกันอลหม่าน
โดยทางเจ้าหน้าที่พยายามที่จะประกาศไม่ให้มวลชนเข้าไปในบริเวณพื้นที่ ส่วนเสียงดังกล่าวจะเป็นระเบิดนั้น อยู่ระหว่างการรอเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ โดยขณะนี้บริเวณพื้นที่โดยรอบสน.ปทุมวัน เกิดความชุลมุนอย่างมาก เนื่องจากผู้ชุมนุมได้เคลื่อนตัวไปที่หน้า สน.ปทุมวัน เพื่อกดดันเจ้าหน้าที่ให้ปล่อยตัวผู้ชุมนุมที่ถูกจับที่หน้าหอศิลป์ และยังมีการสลับปรับเปลี่ยนกันขึ้นปราศัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล และโจมตีสถาบันเบื้องสูงด้วย
นำโดยนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ โดยปราศรัยว่า ถึงแม้เพื่อนเราทั้ง 4 คนที่ได้รับการปล่อยตัววันนี้ ยังเหลือเพื่อนเราอีก 4 คนคือ ทนายอานนท์ เพนกวิน พี่สมยศ และหมอลำแบงค์ ต้องช่วยกันต่อไป จะเหนื่อยแค่ไหน นานแค่ไหนเราก็จะสู้ไปด้วยกัน
ขณะที่ รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ปราศรัยว่าเราเปิดศักราชใหม่ด้วยการต่อสู้ เป็นอย่างดี แต่เรายังจะยึดมั่นในการต่อสู้อย่างสันติวิธี ต่อไปขอให้ทุกคน ออกมาพูดกันเยอะๆ ลงถนนกันเยอะๆ ให้เกิน 1 แสน 2 แสน 3 แสนคน เป้าหมายต่อไปคือนำมวลชนลงถนนให้เกินล้านคน ถ้าออกมาเยอะขนาดนั้น ความหวังในการปฏิรูปสถาบัน ก็ยิ่งมีความหวังมาก
และบอกว่า เราต้องเตรียมพร้อมทุกวินาที พร้อมที่จะลงถนนด้วยกัน อยากให้ทุกคนตั้งสติติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะการเคลื่อนไหวต่อไปจะเป็นชนิดแบบวันต่อวัน โดยติดตามได้ทางเพจราษฎร และเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม
“อย่างที่เห็นวันนี้เพื่อนเราถูกจับมาทั้ง 4 คนตอนแรกทนายบอกต้องประกันตัวแต่เมื่อเราทุกคนรวมใจกันมากดดัน เจ้าหน้าที่จึงยอมปล่อยตัวทั้ง 4 คน” จากนั้นเวลา 21.00 น.รุ้ง ปนัสยา ได้ประกาศยุติการชุมนุม พร้อมทั้งให้ทุกคนเคาะหม้อ กระทะก่อนแยกย้ายกันกลับ
ภายหลังจากกลุ่มราษฎรได้ยุติการชุมนุมบริเวณหน้าสน.ปทุมวัน จากการตรวจสอบพบว่ารถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 8 คัน ประกอบด้วยรถยก 1 คัน รถตู้ 3 คัน รถกระบะตราโล่ 3 คัน และรถยนต์ของหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดหรือ EOD ที่จอดอยู่ลานจอดข้าง สน.ถูกทำลายด้วยการทุบกระจก ฉีดพ่นสีสเปรย์รอบคัน และปล่อยลมยางได้รับความเสียหาย
ซึ่งก่อนหน้านี้ทางด้านโฆษก ตร. ได้ออกมาเปิดเผยกรณีการชุมนุมของกลุ่มราษฎรว่า ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้ประเมินสถานการณ์ไว้ 3 ระดับ ระดับที่ 1 หากไม่มีความรุนแรงมาก ก็เตรียมกำลังควบคุมฝูงชน (คฝ.) ไว้ 1-2 กองร้อย ระลอกที่ 2-3 ได้เตรียมกำลังไว้อย่างละ 2 กองร้อย สับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน โดยเบื้องต้นจะใช้กำลังจาก บก.อคฝ. เป็นหลัก และพื้นที่ บก.น. 6 ยืนยันว่าไม่น่าเป็นห่วงในการใช้กำลังควบคุมพื้นที่ ซึ่งประมาทไม่ได้เรื่องการเตรียมความพร้อม เพราะอาจมีสถานการณ์อื่นมาสอดแทรกด้วย เช่น สถานการณ์การเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเรื่องที่ บช.น. จะประเมินอยู่เป็นระยะ ไม่มีสูตรสำเร็จว่าจะเตรียมกำลังไว้มากน้อยเพียงใด
ขณะที่ทางด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า “ผมเป็นคนที่พยายามไม่ทำอะไรที่ไม่จำเป็น พยายามพูดคุย แต่ถ้าจำเป็นต้องทำผมไม่เคยลังเล ผมทำอย่างนี้มาตลอดชีวิตผม ผมอาจไม่ค่อยพูด แต่ถ้าจะทำผมทำเลย การจัดกิจกรรมขอให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยมีการเจรจากันอยู่แล้ว และพยายามให้ทุกคนอยู่ได้ภายในสถานการณ์แบบนี้ จะแสดงความเห็นอะไรก็แล้วแต่ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ถ้าขัดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดีเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฝากประชาชนที่จะมาชุมนุม ขอให้ระลึกถึงความสงบเรียบร้อย นึกถึงว่าเราอยู่ในสถานะที่ต้องช่วยกัน ผมในฐานะคนไทยคนหนึ่งอยากเห็นคนไทยร่วมไม่ร่วมมือ มีการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์มากกว่า จะเห็นว่าเราพยายามลีกเหลี่ยงการใช้กำลังมาตลอด อาจจะมีการใช้น้ำฉีดไปคราวก่อนโน้น จริงแล้วถ้าเทียบกับสากลโลกเทียบกันไม่ได้ ประเทศที่เจริญกว่าเราเขาทำหนักกว่านี้เยอะ แต่เราไม่ได้เอาอย่างนั้นมาเป็นตัวตั้ง เราเอาเหตุและผลสังคมของเรา คนไทยก็ใช้วิธีแบบไทย บางครั้งหนักบ้างเบาบ้าง ตำรวจทำอะไรรุนแรงเราก็ขอโทษ แต่ที่เราทำทั้งหมดเราตั้งใจรักษาความสงบเรียบร้อย อยากให้ส่วนรวมสุข เราไม่ได้ดูแลคนกลุ่มเดียวเราดูแลคนทั้งประเทศ”
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของม็อบที่กระทำนั้น ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก เพราะกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อไปชุมนุมที่ใด ก็จะทำลายทรัพย์สินของทางราชการทุกครั้ง สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน แต่ทางตำรวจก็ไม่ได้จัดการขั้นเด็ดขาดกับม็อบเลย ทำให้เกิดกระแสที่พูดถึงการทำงานของตำรวจที่ไม่จัดการให้เด็ดขาด ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมได้ใจ ก่อเหตุซ้ำเรื่อยๆ โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย สังเกตได้จากก่อนหน้านี้ ก็มีการพ่นสีบริเวณกำแพง สาดสีที่ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำงานทรัพย์สินของประชาชน และยังมีการพ่นข้อความจาบจ้วงสถาบันด้วย จนมาถึงครั้งล่าสุด ก็เกิดเหตุซ้ำอีกครั้ง