“ดร.อานนท์” ฝากหลักฐาน “เจ๊ปอง” ช่วยลากไส้ “ตี๋ทอน” ชำแหละขบวนการล้มเจ้า

4164

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ระบุว่า “ธนาธรและปิยบุตร กล่าวหาว่าในหลวงต้องรับผิดชอบหากวัคซีนโควิด-19 ล่าช้า ไม่เพียงพอ หรือมี adverse event

แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับในหลวงเลย

1. รัฐบาลไทยโดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติซื้อวัคซีนจาก AstraZeneca

2.Siambioscience แค่รับจ้างผลิต และรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบ in kind คือไม่มีค่าใช้จ่าย จาก AstraZeneca และ Oxford โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่ได้กำไรจากการผลิตวัคซีน

3. การควบคุมคุณภาพอยู่ที่ AstraZeneca ดังนั้นเรื่อง adverse event อันอาจจะเกิดขึ้นตามปกติ เช่น การแพ้วัคซีน ไม่ได้เกี่ยวกับ Siambiosicence แต่อย่างใด

4.คำสั่งซื้อมาจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ หากจะเพียงพอหรือไม่เพียงพอ ล่าช้าหรือไม่ล่าช้า ก็ตามเป็นความรับผิดชอบของสถาบันวัคซีนแห่งชาติและ AstraZeneca ไม่ได้เกี่ยวกับ Siambioscience และไม่ได้เกี่ยวกับในหลวงแต่อย่างใด

5. เงินที่ SCG และรัฐบาลให้มาปรับปรุงเครื่องจักรและกำลังการผลิต Siambioscience ก็นำไปซื้อวัคซีนจาก AstraZeneca ส่งมอบให้รัฐบาลคือสถาบันวัคซีนแห่งชาติต่อไป ไม่ได้ได้มาฟรี ๆ แต่อย่างใด

6. ในฐานะนิติบุคคลของ Siambioscience ผู้ที่มีความรับผิดคือกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตามกฎหมาย หาได้เป็นความรับผิดของผู้ถือหุ้นในพระปรมาภิไธยก็หาไม่ อันนี้เป็นหลักของกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทที่ใครที่ทำธุรกิจหรือเรียนกฎหมายมาบ้างก็ต้องรู้อยู่แล้ว ทำไมมันโง่ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยถึงเพียงนี้
รายละเอียดอื่น ๆ แสดงในแผนภาพที่ผมวาดด้านล่างนี้

ไม่รู้มันจะพยายามโยงบ้าโยงบอเพื่อด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ยอมเลิกสักที คงต้องให้มันติดคุก ถึงจะเลิก #ให้มันติดคุกที่รุ่นเรา”

นอกจากนี้ดร.อานนท์ ยังได้ฝากข้อความไปถึง 2 ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง คือ สันติสุข มะโรงศรี และ อัญชะลี ไพรีรัก ว่า ฝากเอาไปพูดหน่อยครับ ให้ประชาชนเข้าใจ ฝากเจ๊ปองด้วยครับ ขอบพระคุณครับ

 


ขณะที่เมื่อเวลา 8.45 น. เช้าวันนี้ ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้เดินทางมาศาลเพื่อเข้าฟังการไต่สวนคำร้องคัดค้านของคณะก้าหน้า ตามที่ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลสั่งลบลิงค์ตามคำขอ กระทรวงดิจิทัลฯ ในการเผยแพร่ภาพ-คลิปเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิดพาดพิงสถาบันฯ ผ่านเพจคณะก้าวหน้า โดยนายธนาธร เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์วันนี้ เพื่อขอคัดค้านใบคำสั่งจากกระทรวงดิจิทัลที่ขอให้ศาลปลดการไลฟ์เฟซบุ๊ก ทั้งในช่องทางเฟซบุ๊ก ยูทูป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ส่วนตัวคิดว่าการตั้งคำถามในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันสามารถใช้หลักการวิจารณ์สุจริตกล่าวอ้างต่อศาลได้หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ตนเห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองล้วนเป็นเรื่องของทุกคนในประเทศ สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เป็นส่วนหนึ่งในสังคมไทย ดังนั้นการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์โดยสุจริต โดยไม่ว่าร้ายพยาบาท เพื่อหวังดีต่อสังคม ย่อมเป็นสิ่งที่พลเมืองพึงกระทำได้

เมื่อถามว่า คิดว่าศาลจะใช้ดุลยพินิจที่ครอบคลุมถึงหลักการข้างต้นด้วยหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า อันนี้ตนคงก้าวล่วงศาลไม่ได้ เพราะเห็นว่าสิ่งที่เราวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนของรัฐบาลให้คนไทย เป็นสิ่งที่พวกเราทำด้วยความประสงค์ดี ก็หวังว่าศาลคงจะเข้าใจ ตนคงไม่ไปก้าวล่วงคำวินิจฉัยของศาล

เมื่อถามว่า จนถึงตอนนี้แล้วมองว่าขอบเขตความผิดตาม ม.112 ในประเทศไทย มีความต่างจากประเทศที่ปกครองด้วยราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญอย่างไรบ้าง นายธนาธร กล่าวว่า ใน ม.112 เป็นมาตราที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างแน่นอน เพราะสิทธิสิทธิมนุษยชนนั้นคือการมีเสรีภาพทางการแสดงออก และม.112 มีโทษที่สูงเกินไปด้วย จึงเห็นว่าควรมีการแก้ไขกฎหมาย ม.112


อย่างไรก็ตาม ได้มีสำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ถึงผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ที่ระบุว่า วัคซีนที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และบริษัท แอสตราเซเนกา มีประสิทธิภาพในการต้านไวรัส 76% หลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว 3 เดือน และจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเมื่อฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ซึ่งการศึกษาดังกล่าวช่วยหนุนการตัดสินใจของอังกฤษให้ขยายระยะการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ห่างกัน 12 สัปดาห์ ซึ่งทางแอสตราเซเนกาเองก็สนับสนุนการตัดสินใจครั้งนี้ เพื่อให้วัคซีนมีประสิทธิภาพสูงสุด

ส่วนทางด้านประธานาธิบดีเอมานูว์แอล มาครง ของฝรั่งเศส ได้เปิดเผยว่า ฝรั่งเศสจะฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาให้กับประชาชนที่มีอายุไม่เกิน 65 ปี หลังจากหน่วยงานด้านสาธารณสุข ระบุว่า มีข้อมูลไม่เพียงพอเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนต่อผู้สูงอายุ ขณะที่ฝรั่งเศสได้อนุมัติการใช้วัคซีนของแอสตราเซเนกาในผู้ที่มีอายุไม่เกิน 65 ปี โดยหน่วยงานด้านสาธารณสุขฝรั่งเศส เห็นว่า ควรฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่มีอายุระหว่าง 50-65 ปี ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ และบุคลากรทางการแพทย์ เป็นกลุ่มแรก

นอกจากนี้ วัคซีนตัวใหม่ที่สามารถจัดการกับไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ จะสามารถผลิตออกใช้ได้ภายในฤดูใบไม้ร่วงนี้ด้วย