จากที่วันนี้ (1 ก.พ. 2564) สื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานข่าวว่า ช่วงเช้าตรู่ เมียว ยุนต์ โฆษกพรรคพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ เอ็นแอลดี (NLD) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ว่า อองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ, อู วินมิ่นท์ ประธานาธิบดีเมียนมา และผู้นำคนอื่น ๆ ได้ถูกควบคุมตัวโดยกองทัพเมียนมา
โดยระบุว่า “ผมต้องการจะบอกกับประชาชนของเราว่าอย่าตอบโต้อย่างผลีผลาม และผมต้องการให้พวกเขาทำตามกฎหมาย” เมียว ยุนต์ กล่าวโดยเรียกร้องให้สมาชิกพรรคทำตามกฎหมาย และอย่ากระทำการใด ๆ ที่หุนหันพลันแล่น
การจับกุม อองซาน ซูจี เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังเกิดความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพเมียนมา ท่ามกลางกระแสข่าวว่าอาจเกิดการรัฐประหารโดยกองทัพเพื่อล้มรัฐบาล โดยอ้างข้อกล่าวหาว่ามีการทุจริตเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2563 ซึ่งพรรคของนางซู จี ได้รับชัยชนะถล่มทลาย
พรรคเอ็นเอลดี สามารถคว้าชัยในการเลือกตั้งทั่วไปที่มีขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนเป็นสมัยที่สอง และสามารถคว้าที่นั่งในรัฐสภาไปทั้งหมด 396 ที่นั่งจากทั้งหมด 498 ที่นั่ง ทำให้มีสิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล ท่ามกลางข้อกังขาว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งและมีประชาชนบางส่วนถูกตัดสิทธิ์การลงคะแนนเสียง
ล่าสุด มีรายงานว่า สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า สหรัฐอเมริกา ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้กองทัพเมียนมา ปล่อยตัวเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล ซึ่งรวมไปถึงนางออง ซาน ซูจี ที่ถูกควบคุมตัวไปก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งเตือนด้วยว่าจะดำเนินการตอบโต้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
โดยเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาว ระบุว่า “สหรัฐอเมริกาคัดค้านทุกความพยายามที่จะขัดขวางผลการเลือกตั้ง หรือ ขัดขวางกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย และสหรัฐจะดำเนินการกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำดังกล่าว”
“เราเรียกร้องให้กองทัพและทุกฝ่ายยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม และปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวในวันนี้” ซากี ระบุ และว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐได้รับรายงานสถานการณ์ในเมียนมาแล้ว
ด้านเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นแถลงว่า รัฐบาลยังไม่มีแผนอพยพพลเมืองออกจากเมียนมา ขณะที่สถานทูตญี่ปุ่นแจ้งเตือนพลเมืองให้เก็บตัวอยู่แต่ในที่พักอาศัย ปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในเมียนมาราว 3,500 คน และแม้สถานการณ์ในตอนนี้คาดว่าจะยังไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนทั่วไป แต่ทางสถานทูตก็ย้ำเตือนให้ชาวญี่ปุ่นใช้ความระมัดระวัง
“เราขอให้ประชาชนเก็บตัวอยู่ในที่พักอาศัย และงดออกไปภายนอกเว้นแต่จะมีธุระจำเป็น” ประกาศจากสถานทูตที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นระบุ
ทางด้าน เฟซบุ๊ก “Wassana Nanuam” รายงานว่า กองทัพเมียนมา ประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉิน เสมือนเป็นการยึดอำนาจ แล้ว ตั้ง “รองปธน. Myint Swe” เป็น ประธานาธิบดี คุมอำนาจ 1 ปี หลัง ทหารคุมตัว “Aung San Su Kyi และปธน. U Win Myint”
แถลงการณ์ ประกาศState of Emergency นี้ ประกาศ ผ่านทาง MWD Channel (Myawaddy TV) ที่เป็น ทีวี ของกองทัพเมียนมา ที่มี พลเอก Min Aung Hlaing เป็น ผบ.ทหารสูงสุด โดยชี้ว่า เป็น ขั้นตอนต่าง ๆ จะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ก่อนหน้านี้ กองทัพ ขอให้รัฐบาล ของนางAung San Suu Kyi ชี้แจง และตรวจสอบ เรื่องการนับคะแนนเลือกตั้ง กว่า 10 ล้านเสียงที่คาดว่า จะมีทุจริต แต่ รัฐบาล ปฏิเสธ-กองทัพ ให้เลื่อนวันเปิดประชุมสภา แต่ก็ไม่เลื่อน-แถมยังเกิดความวุ่นวาย จากพรรคฝ่ายค้าน ที่ก่อม็อบประท้วง
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า คณะรัฐประหารเมียนมาสั่งปิดด่านท่าขี้เหล็ก ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย พร้อมตัดการสื่อสารของประชาชนในพื้นที่ ขณะที่ความเป็นอยู่โดยทั่วไปยังไม่มีอะไรตึงเครียด ด้านพ่อค้าชายแดนหวังจะไม่ปิดยาว
หลังผู้นำทหารของเมียนมา ที่นำโดย พลเอก Min Aung Hlaing ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก่อการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครอง ในช่วงที่กำลังจะมีการถ่ายโอนอำนาจจากรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ซึ่งชัยชนะตกเป็นของพรรคเอ็นแอลดีพรรคการเมืองที่มีอองซานซูจีเป็นผู้นำ
ที่ชายแดนไทย-เมียนมา ทางด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เช้าวันนี้ (1ก.พ.2564) ในช่วงเช้า ๆ การขนส่งสินค้าระหว่างแม่สายกับท่าขี้เหล็กซึ่งทำกัน ณ จุดผ่านแดนถาวรแม่สาย สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 ยังคงดำเนินการกันอยู่ตามปกติ แต่ต่อมาเวลาประมาณ 09.30 น. เจ้าหน้าที่ของทางการท่าขี้เหล็กได้ทำการปิดด่านพรมแดนตามคำสั่งคณะปฏิวัติ ขณะที่แม่ทัพภาคที่ 3 ได้สั่งการให้หน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดที่มีพรมแดนติดต่อกับเมียนมา ส่งกำลังตรึงชายแดนเพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ในขณะที่สถานการณ์ในตัวจังหวัดท่าขี้เหล็กนั้น จากการตรวจสอบในช่วงเช้าพบว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทำหน้าที่กันตามปกติ แต่ก็รอฟังคำสั่งจากคณะปฏิวัติว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่ ในขณะที่การใช้ชีวิตของประชาชนไม่ได้มีการเข้มงวดมากนัก มีเพียงแต่การตัดสัญญาณสื่อสารเท่านั้น อย่างไรก็ตามหากด่านพรมแดนปิดไม่มีการขนส่งสินค้าเกิดขึ้น ประชาชนในเมืองท่าขี้เหล็ก ซึ่งพึ่งพาสินค้าจากแม่สายมีผลกระทบอย่างแน่นอน ในขณะที่การส่งออกสินค้าจากประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่าเฉลี่ยเดือนละประมาณ 1,000 ล้านบาทก็จะหายไป สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออกสินค้าไทย รวมทั้งบรรดาเจ้าของรถตู้ที่มีอาชีพรับจ้างขนส่งสินค้าไปท่าขี้เหล็กในพื้นที่แม่สายที่มีมากกว่า 200 คันอย่างแน่นอน