จากที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้ออกมาไลฟ์สดทางเพจคณะก้าวหน้าในหัวข้อ “วัคซีนพระราชทานฯ” พูดถึงการจัดหาและผลิตวัคซีนโควิดในประเทศไทยก่อนที่จะพาดพิงสถาบันโดยอ้างถึงการถือหุ้นบริษัทผลิตวัคซีน???
ต่อมานายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้มอบหมายให้นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ นายทศพล เพ็งส้ม และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นแจ้งความที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.)ฐานความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี และการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ล่าสุดวันนี้21 มกราคม 2564 นายธนาธร ได้แถลงถึงกรณีโดนแจ้งข้อกล่าวหาทั้งความผิดตามาตรา 112 และพรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 โดยมีบางช่วงระบุว่า ถ้าประเทศไทยยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ก็ยังเหมือนอยู่ในอุโมงค์ แม้จะมีแสงสว่าง แต่ก็ยังอยู่ในความมืดมิดอยู่กับ6เดือนที่ยังไม่มีวัคซีนมาฉีด คนไทยก็จะอยู่ในอาการหวาดผวา การออกมาพูดของตนนั้นเพียงวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
“ตนเห็นว่าพลเอกประยุทธ์ พยายามบิดเบือนเมื่อไหร่ที่ทำผิดพลาดก็จะใช้คดีความ มาปิดปากคนอื่น การที่ตนพูดเรื่องวัคซีนก็เพราะสงสัยว่าเป็นการเอื้อให้กับบริษัทเอกชนรายใดรายหนึ่งหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เองที่ทำให้ไม่ว่าชอบหรือไม่ชอบสถาบันก็จะทำให้คนพิจารณามากขึ้นจากเรื่องนี้ และไม่ใช่ผมที่ดึงสถาบันมายุ่งกับเรื่องนี้ อย่าใช้คดีมาตรา112ปิดปาก การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลประยุทธ์ที่มาจากการสืบทอดอำนาจ เป็นการไม่จงรักภักดีสถาบัน เป็นศัตรูกับสถาบันรึเปล่า”
นอกจากนี้นายธนาธร ยังอ้างว่าไม่ได้เป็นคนเริ่มใช้คำว่า วัคซีนพระราชทาน เราไม่ได้เริ่มใช้ แต่มีคนใช้มาก่อน โดยนายธนาธร ได้เปิดคลิปพล.อ.ประยุทธ์ ขณะแถลงถึงการช่วยเหลือของรัฐบาลในเรื่องแก้ปัญหาโควิดซึ่งช่วงหนึ่งกล่าวถึงพระเมตตาของในหลวงที่ได้พระราชทานความช่วยเหลือในเรื่องนี้ด้วย แต่คลิปที่นายธนาธรอ้างนี้ไม่มีช่วงไหนที่พล.อ.ประยุทธ์ พูดว่าวัคซีนพระราชทาน อย่างไรก็ตามระหว่างการแถลงวันนี้นายธนาธร พูดย้ำหลายครั้งว่าการถูกดำเนินหมิ่นสถาบันนั้นเป็นคดีการเมือง เป็นการปิดปาก
อย่างไรก็ตามนายธนาธร ยังได้ตอบคำถามเกี่ยวคดีความของคนในครอบครัวด้วยไม่ว่ามารดาและน้องชาย ว่าให้ปล่อยไปตามกระบวนการเป็นเรื่องของครอบครัว ไม่ใช่ตนเอง ส่วนที่ไม่เคยออกมาตอบโต้เรื่องเรือยอร์ช เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก เป็นการหวังผลทางการเมือง โดยเรือลำดังกล่าวซื้อมาจากฮ่องกงเป็นเรือมือสองซึ่งมีการไปจดทะเบียนที่เกาะคุก เรื่องนี้มองว่าเป็นการต้องการทำลายตนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุบัติเหตุแต่เป็นการลอบวางเพลิง จึงไม่อยากไปแจ้งความจะเข้าทางฝั่งตรงข้าม
ขณะที่คดีของมารดานายธนาธร คือนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกแจ้งข้อหาบุกรุกป่าสงวน รวมทั้งคดีน้องชายคือนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่พัวพันติดสินบนเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น ทางนายธนาธรระบุว่า “ผมต้องบอกว่าน้องชายผมได้ออกเอกสารการแถลงข่าวชี้แจงต่อกรณีนั้นมาแล้ว ถ้าอยากทราบความคิดเห็นของน้องชายผมก็ไปดูแถลงการณ์ฉบับนั้น แต่ผมเชื่อว่าเป็นความจงใจของรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจที่พยายามกดดันผมให้หยุดการเคลื่อนไหวทางการเมือง”
นั่นคือคำกล่าวอ้างของนายธนาธรครั้งแรก หลังจากคดีน้องชายถูกเปิดเผยออกมาหลายเดือนโดยได้มีการเปิดเผยเอกสารคำพิพากษาของคดีที่เกี่ยวข้องกับการติดสินบนยัดเงินใต้โต๊ะเพื่อได้สิทธิเช่าที่ดินผืนงามของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ของนายสกุลธรเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 63 ที่ผ่านมา ซึ่งคดีดังกล่าวมีคำตัดสิน เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ.62 โดยคดีนี้เกิดขึ้นระหว่างเดือนมีนาคม ปี 2560 ต่อมาประชาชนได้ทักท้วงถึงความผิดของนายสกุลธรมา แต่กลับไร้ซึ้งความคืบหน้าใดๆ
ด้านคดีความของมารดาก่อนหน้านี้นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ออกมากล่าวถึงกรมป่าไม้ที่ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดี นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้ารุกป่าสงวนในพื้นที่ จ.ราชบุรี 450 ไร่ พร้อมเสนอเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ นส. 3 ก จำนวน 2,000 ไร่
โดยยืนยัน ในการทำงานของกระทรวงทรัพยากรฯว่า ไม่ดูที่ว่าเป็นใครหรือฝ่ายใด เราดูแค่ว่าทรัพย์สมบัติของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นป่าสงวน หรือป่าอนุรักษ์นั้นได้มีการบุกรุกหรือไม่ และถ้ามีการบุกรุกขึ้นมา กระทรวงในฐานะที่เป็นเจ้าทุกข์ก็จะมีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทุกคดีที่มีการร้องเรียน กระทรวงทรัพยากรฯ จะดำเนินคดีจนถึงที่สุด ไม่ได้ประวิงเวลาหรือเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายใดทั้งนั้น ดำเนินคดีตามกฎหมายและเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ไม่มีมี 2 มาตรฐานหรือเลือกที่รักมักที่ชังอย่างแน่นอน ให้ความยุติธรรมและดำเนินคดีโดยไม่ได้ดูที่ตัวบุคคล