แฉชีวิตคนชังชาติ?!? โจชัวร์ หว่อง ต้องขึ้นศาลรายวัน ไปไหนมีแต่เสียงก่นด่าขับไล่ แต่ยังไม่สำนึก (มีคลิป)

13030

โจชัวร์ หว่อง วันนี้ยังอยู่ฮ่องกง ชีวิตประจำวันต้องไปขึ้นศาลคดีต่างๆ หลายคดี ไปไหนมีเสียงก่นด่าไล่ส่งให้ไปอยู่ที่อื่น แต่เขายังไม่สำนึกว่าสิ่งที่ตนและพวกพ้องทำต่อฮ่องกงบ้านเกิด ส่งผลให้เศรษฐกิจล้มเหลว คนฮ่องกงต้องตกงาน ดำเนินชีวิตยากลำบาก เท่านั้นไม่พอยังยื่นหน้ามายุม็อบเมืองไทย-ไต้หวัน อีกไม่นานคงได้รู้ว่าชีวิตที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นนั้นเป็นอย่างไร?

โจชัวร์ หว่อง ชาวฮ่องกงอายุ 23 ปี โด่งดังไปทั่วโลกจากผลงาน ปลุกระดมยุแหย่เยาวชนนักศึกษา ประชาชนฮ่องกงให้ต่อต้านรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ ก่อม็อบการประท้วงยาวนานเพื่อเรียกร้องแยกประเทศ ขอไปอยู่ใต้ความคุ้มครองของอังกฤษ-อเมริกา มหาอำนาจตะวันตก ก่อผลกระทบต่อฮ่องกงบ้านเกิดของเขา ทั้งเศรษฐกิจและชีวิตของชาวฮ่องกงอย่างมหาศาล จากศูนย์กลางการเงินและเมืองท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ กลายเป็นเมืองร้าง หดหู่ล้มเหลวทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ดูเหมือนเขาผู้นี้จะยังไม่รู้สึกสำนึกแต่อย่างใด

อยู่ฮ่องกงเจอชาวฮ่องกงก่นด่า ไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น

โจชัวหว่อง โดนอาอี้คนนี้ต่อว่าอย่างไรบ้าง?  อาอี้คนนี้ต่อว่า นายโจชัวหว่อง เป็นภาษากวางตุ้ง ซึ่งพอจับใจความสรุปได้ว่า  “นายนี่แย่มากจริงๆ ที่ทำให้ฮ่องกงทุกวันนี้วุ่นวายไปหมด ธุรกิจเศรษฐกิจล้มละลายแทบไม่เหลืออะไรดี  คุณทำกรรมให้กับคนส่วนมากที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของคุณ  ฉะนั้นทางที่ดีคุณควรที่จะออกไปจากฮ่องกงได้แล้ว”  

เป็นการบ่นต่อว่าในลักษณะความเป็นผู้ดี ที่จะสื่อให้กับโจชัวหว่องได้รู้สำนึก ที่ควรจะรักบ้านแผ่นดินเกิด  ส่วนใหญ่ก็จะเดินบ่นไปด่าไปประมาณนี้ แต่ความเป็นจริงเขาตอบโตักลับ อย่างไม่รู้สำนึกผิดแต่อย่างใด

ผลงานที่โจชัวร์ หว่องและพวกกระทำต่อฮ่องกง

เศรษฐกิจฮ่องกงเข้าสู่ภาวะถดถอยในรอบ 10 ปี จากสาเหตุการชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่ยืดเยื้อกว่า 6 เดือนและทวีความรุนแรงขึ้น กระทบต่อภาคการค้าและบริการในประเทศ รวมถึงผลกระทบจากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อระหว่างสองมหาอำนาจ ส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของฮ่องกงติดลบติดต่อกันข้ามปี  จากการเปิดเผยข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจของรัฐบาลเมื่อ ต.ค.62 พบว่า การเติบโตของเศรษฐกิจฮ่องกงในไตรมาส 3/2019 ติดลบ 3.2% นับว่าเป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงินเมื่อปี 2008

งานวิจัยของ แคปปิตอล อีโคโนมิกส์ (Capital Economics) บริษัทให้คำปรึกษาด้านเศรษฐกิจมหภาค ระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจฮ่องกงยังถูกจำกัดด้วยการลงทุนของภาคเอกชนที่ยังอ่อนแอ ซึ่งเป็นผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง และสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของโลก

ฮ่องกงต้องเผชิญกับวิกฤตทางการเมืองขั้นรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ ความขัดแย้งทางการเมืองส่งผลต่อภาคธุรกิจการค้าและการบริการของประเทศ โดยเศรษฐกิจฮ่องกงต้องหยุดชะงักลงจากความรุนแรงระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งผลให้ร้านค้าและบริการต่างๆ ต้องปิดตัวลง ทั้งยังพบว่าธุรกิจหลายแห่งในฮ่องกงร้องขอให้พนักงานหยุดงานชั่วคราว และจะไม่ได้รับค่าแรงเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่หลีกเลี่ยงพื้นที่บริเวณแหล่งช้อปปิ้งและห้างสรรพสินค้า  เศรษฐกิจฮ่องกงยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 จากปี2562 โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมของฮ่องกง หรือ GDP ลดลงร้อยละ 9.1 ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ซึ่งแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ร้อยละ 8.3 และแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2517 (ข้อมูลจาก Bloomberg) 

เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 และสถานการณ์ความไม่สงบทาง การเมือง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ใน เดือน พ.ค. – มิ.ย. 63 ที่ดูเหมือนจะควบคุมได้    รวมถึงการที่จีนแผ่นดินใหญ่เริ่มกลับมาดำเนินธุรกิจอีกครั้งที่ช่วยส่งเสริมการ ส่งออกของฮ่องกง ทั้งนี้ การลดลงของ GDP ในไตรมาสที่ 2 นี้เป็นผลมาจากการภาพรวมของการดำเนินธุรกิจที่ขาดสภาพ คล่องอย่างต่อเนื่องทั้งในฮ่องกง และต่างประเทศ 

 

การส่งออกประเภทงานบริการลดลงถึงร้อยละ 46.6 เมื่อเทียบกับไตร มาสแรกที่ลดลงร้อยละ 37.4 เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่ยังไม่สามารถเดินทางเข้าเมืองได้เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายในการบริโภค ของภาคเอกชนในฮ่องกงลดลงร้อยละ 14.5 ในไตรมาสที่ 2 จากปี 2562 ซึ่งในไตรมาสที่ 1 ได้ปรับตัวลดลงร้อยละ 10.6 ที่ เป็นผลจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เป็นหลัก 

การว่างงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ฮ่องกงในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจที่ต้องพึ่งพานักเดินทางจากทั่วโลก รวมถึงการ ส่งออก และนำเข้าสินค้าจากนานาประเทศแล้ว การระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อทุก อุตสาหกรรมในฮ่องกง ยิ่งไปกว่านั้นจากการแพร่ระบาดระลอก 3 ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ จะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส ที่ 3 โดยเฉพาะการปิดกิจการ และอัตราการว่างงานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8

ทำไมยังอยู่ฮ่องกง-คดีความ หรือยังไม่บรรลุแผน

– ต้นกรกฏาคมที่ผ่านมา  นายโจชัว หว่องเอาตัวรอดไว้ก่อน โดย ชิงประกาศลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคเดโมซิสโตซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2559 พร่อมแกนนำ นายนาธานหลอ วัย 26 ปี และน.ส.แอกเนส โจว วัย 23 ปี กลุ่มแกนนำปฏิวัติ หลังจากคณะกรรมการถาวรในสภาประชาชนแห่งชาติจีนผ่านความเห็นชอบกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติที่จะใช้กับฮ่องกง หลังจากนั้นไม่กี่วัน นาธาน หลอก็โพสเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าได้เดินทางไปต่างประเทศเพื่อลี้ภีย แต่ไม่ระบุว่าที่ใด 

การประกาศใช้กม.ความมั่นคงในฮ่องกง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังจากที่อังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกง คืนสู่การปกครองของรัฐบาลจีนเมื่อเกือบ 23 ปีที่แล้ว ทางการจีนยืนยันว่า กฎหมายนี้จำเป็นต่อการแก้ปัญหาการแยกตัวเป็นเอกราช การล้มล้าง การก่อการร้าย และการคบคิดกับต่างชาติหลังจากการประท้วงต่อต้านรัฐบาลทวีความรุนแรงในเดือนมิถุนายนปีก่อน

– กลางเดือนกรกฎาคม หลังก.ม.ความมั่นคงประกาศใช้ นายโจชัวร์ หว่องและเพื่อนได้ขึ้นศาลให้การในคดีการชุมนุมประท้วงโดยไม่ได้รับอนุญาต  ก่อนเข้าให้การในศาลประกาศ  ตัวเขาและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ต้องเดินหน้าทำภารกิจสำคัญในสำเร็จลุล่วง

ยื่นหน้ามายุแหย่ม๊อบเยาวชนไทย-ไต้หวัน

– สิงหาคม นายโจชัวร์ หว่องทวิตหนุนการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก พร้อมทวงบุญคุณ  ชี้เคยช่วยต้านเกรียนคีย์บอร์ดจีนมาแล้ว ถึงเวลาช่วยเหลือพวกเขากลับคืนมาบ้าง ต้องการประชาธิปไตยและอนาคตกลับมา แสดงให้เห็นแล้วว่า มีการกระทำกันเป็นเครือข่ายชัดเจน

ก่อนหน้านี้ เคยปรากฏภาพคู่กับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ระหว่างการเข้าร่วมงาน Open Future Forum ที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ ที่เกาะฮ่องกง เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2562 กระทั่งโฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ชี้แจงถึงความรุนแรงในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง หลังการชุมนุมยาวนานกว่า 4 เดือน ระบุว่า กลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีน สมคบกับกลุ่มอิทธิพลภายนอก เผยแพร่ข่าวลือ บิดเบือนข้อเท็จจริง

อีกทั้งนักการเมืองประเทศไทยบางคนติดต่อกับกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีน โดยมีท่าทีเชิงสนับสนุน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดอย่างร้ายแรงและไร้ความรับผิดชอบ ทำให้นายธนาธรต้องโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กชี้แจง อ้างว่า คุยกับนายโจชัว หว่อง แค่ 5 นาที ถ่ายรูปคู่แล้วแยกย้าย แต่ถูกขยายสร้างความเกลียดชัง ยืนยันสนับสนุนการเคารพธรรมนูญการปกครองฮ่องกง โดยยึดหลักหนึ่งประเทศสองระบบของจีน