พ่อเยาวชน16โดนคดีม.112เผยความในใจ หลังศาลปล่อยตัวลูก โดยส.ส.ก้าวไกลใช้ตำแหน่งประกัน

13066

จากที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ยานนาวา ควบคุมตัวเยาวชนอายุ 16 ปี ผู้ถูกออกหมายเรียกตามประมวลกฎหมาย มาตรา 112 จากการร่วมชุมนุมม็อบแฟชั่นสีลม ไปที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางแล้ว หลังเข้ารับทราบข้อกล่าวหานั้น

ทั้งนี้เยาวชนวัย 16 ปีรายดังกล่าวถือเป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทฯ ตามมาตรา 112 โดยเขาถูกออกหมายเรียกพร้อมกับ น.ส.จตุพร แซ่อึง วัย 23 ปี สมาชิกกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “บุรีรัมย์ปลดแอก” ซึ่งสวมชุดไทยเข้าร่วมงานเดินแฟชั่นในงาน “ศิลปะราษฎร” เมื่อวันที่ 29 ต.ค.63 ที่ผ่านมา

ต่อมา ที่ศาลเยาวชนเเละครอบครัวกลาง ถ.กำเเพงเพชร พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา นำเยาวชนไทยอายุ 16 ปีเศษ ผู้ต้องหาความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ตาม ป.อาญา มาตรา 112 และข้อหาอื่นๆ จากการร่วมชุมนุมกับกลุ่มราษฎร 2563 เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่หน้าวัดพระแม่อุมาเทวี (วัดแขก) สีลม มายื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาตรวจสอบการจับกุมและมีคำสั่งตามมาตรา 71 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ประกอบ ป.อาญา มาตรา 143 (หมายควบคุมตัว)

โดยผู้ต้องหาได้ยื่นคัดค้านการขอออกหมายคุมตัวของพนักงานสอบสวน พร้อมขอให้ศาลไต่สวนพนักงานสอบสวน อ้างเหตุสรุปว่า ไม่มีเหตุที่จะคุมตัวเนื่องจากผู้ต้องหาได้เข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ยังศึกษาอยู่ที่สถานศึกษาตามปกติ มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน และไม่มีพฤติการณ์หลบหนีแต่ประการใด จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องออกหมายควบคุมหรือหมายขังผู้ต้องหาไว้

ทั้งคดีนี้พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนผู้ต้องหาจนเสร็จแล้ว รวมทั้งได้ทำการสอบประวัติและพิมพ์ลายนิ้วมือไว้ด้วยแล้ว การสอบสวนคดีในส่วนที่เหลือและการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ตามที่พนักงานสอบสวนกล่าวอ้างในคำร้องขอศาลออกหมายควบคุมฯ นั้น ล้วนเป็นเรื่องการดำเนินการของพนักงานสอบสวนกับบุคคลอื่น ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาพนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องมีตัวของผู้ต้องหาแต่อย่างใด

ศาลพิเคราะห์คำร้องของพนักงานสอบสวนให้ศาลพิจารณาตรวจสอบการจับกุมและมีคำสั่งออกหมายควบคุมตัว พร้อมคำคัดค้านแล้ว เห็นว่า คำคัดค้านการควบคุมตัวของตำรวจกรณีเป็นกระบวนพิจารณาชั้นตรวจสอบการจับกุม ซึ่งดำเนินการตามบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่มีเหตุที่จะต้องดำเนินการไต่สวนตามร้องคัดค้านรวมสำนวนไว้

หลังจากนั้นผู้ต้องหาได้ยื่นขอปล่อยชั่วคราว โดยใช้ตำแหน่ง ส.ส.ของนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยื่นศาลพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวแล้ว อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวตั้งแต่ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น หากผิดสัญญาปรับ 12,000 บาท ใช้ตำแหน่งประกัน นัดไปศูนย์ให้คำปรึกษาและแนะนำในวันที่ 18 ธ.ค. 2563 พร้อมรายงานตัวรับทราบคำสั่งศาลวันที่ 1 ก.พ. 2564 เวลา 08.30 น.

ล่าสุดวันนี้(18 ธ.ค.63) ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า  ความในใจของพ่อเด็ก 16 ผู้เจอคดีม.112 คงต้องกล่าวอย่างจริงใจว่า…บางสิ่งบางอย่างที่ลูกคิด ลูกทำ ผมอาจจะไม่เห็นด้วย แต่ผมเคารพการตัดสินใจของลูก

ผมไม่รู้ว่าผิดหรือถูกนะครับ แต่ผมสอนลูกให้มีอิสระทางความคิด ให้เขารู้จักการตั้งคำถาม และแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง พร้อมกับสอนให้เขารับผิดชอบกับผลของการกระทำนั้นๆด้วย ไม่ว่าจะบวกหรือลบ  เรื่องคดีความคงต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ผิดถูกอย่างไรค่อยว่ากันอีกที

แต่ถ้าถามถึงความรู้สึกส่วนตัวของผมเมื่อเห็นลูกวัยแค่นี้ถูกคดีการเมืองรุนแรง แน่นอนครับ ผมคงเหมือนพ่อแม่ทุกคนที่เจ็บปวดไปกับลูก ทั้งรักและห่วงกังวล ในฐานะของคนเป็นพ่อแม่ สิ่งที่กระทำได้ดีที่สุดในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ คือการจูงมือลูกให้แน่น พร้อมเดินฝ่าความโหดร้ายและอุปสรรคนานับประการไปด้วยกัน

เรา…ผู้เป็นพ่อแม่เมื่อเห็นลูกสะดุดล้มเช่นนี้ คงทำได้เพียงแค่เป็นเบาะรองรับตัว ให้เจ็บน้อยที่สุด แม้ว่าจะแลกด้วยความเจ็บปวดของตัวเองก็ตาม นั่นคงเป็นวิถีของพ่อแม่ทุกคนมิใช่หรือ…ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เหตุการณ์อันแสนปวดร้าวเช่นนี้จะหยุดอยู่แค่ครอบครัวของผม ขอมันอย่าได้เกิดขึ้นกับครอบครัวคนอื่นๆอีกเลย

……………………………………………

หมายเหตุ

  1. เขาว่ากันว่าในยามยากลำบากเรามักเห็นเพื่อนแท้ โชคดีที่แม้ผมจะอยู่ในภาวะเช่นนี้ แต่ยังมี “มิตรแท้” มากมาย

ผมต้องขอขอบคุณทุกกำลังใจของผองเพื่อน รวมถึงเหล่าลูกศิษย์ลูกหา ทั้งที่รู้จักคุ้นเคยกันในโลกแห่งความเป็นจริง ตลอดจนผู้คนที่รู้จักกันผ่านโลกออนไลน์

หลายคนแม้มีความเห็นต่างทางการเมือง และมีมุมมองต่อเรื่องราวไม่เหมือนกัน แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ก็ยังแสดงความห่วงใยตลอดจนส่งไมตรีจิตมาให้  ผมต้องขอขอบคุณมากๆเลยนะครับ

  1. หากสื่อจะนำข้อความในโพสต์นี้ไปถ่ายทอดต่อ รบกวนนำเสนอผมในฐานะพ่อคนหนึ่ง ไม่ใช่ในสถานะนักวิชาการ หรือสถานะบทบาททางสังคมหรือองค์กรที่สังกัด เพราะนี่คือเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว

ที่มา : เฟซบุ๊ก มานะ ตรีรยาภิวัฒน์