จากกรณีที่กลุ่มคณะราษฎร ได้มีการชุมนุมขึ้นที่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา และกลุ่มผู้ชุมนุมยังมีการพ่นสีสเปรย์ด้วยข้อความต่างๆบริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขียนข้อความหมิ่นสถาบัน และได้มีการด่าทอจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์
นอกจากนี้ยังมีกาารเขียนข้อความบริเวณหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยถ้อยคำที่หยาบคายและเป็นการจาบจ้วงสถาบันอย่างรุนแแรง ซึ่งการกระทำของม็อบคณะราษฎร ถือว่าเข้าข่ายผิด ม.112
ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการกระทำของม็อบคณะราษฎร ได้มีการพูดโจมตีสถาบันมาตลอด โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือให้นายกรัฐมนตรีลาออก ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งก่อนหน้านี้แกนนำม็อบคณะราษฎร ก็ได้ออกมาพูดถึงการลดเพดานข้อเรียกร้องคือ ว่าจะไม่มีการลดข้อเรียกร้อง แต่ถ้าจะลดก็จะเหลือเพียงข้อเดียวก็คือ การปฏิรูปสถาบัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายที่จะทำการล้มล้างสถาบัน จนนำไปสู่การจาบจ้วงสถาบันอย่างรุนแรง
ทั้งนี้ ทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพูดถึงกรณี มาตรา 112 ทำไมผู้ที่จาบจ้วง โจมตีสถาบันถึงไม่ถูกดำเนินคดี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระเมตตา พระมหากรุณาธิคุณ ได้กำชับมาโดยตรงว่า ไม่ให้ใช้ ซึ่งในการนี้ก็ทำให้ม็อบคณะราษฎรและผู้ชุมนุมหนักข้อขึ้นทุกวัน มีการละเมิด ดูหมิ่น จาบจ้วงสถาบันมาตลอด จนมาถึงการจาบจ้วงโจมตี เขียนข้อความหยาบคายหน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในขณะที่มีประชาชนผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทนกับพฤติกรรมของม็อบที่มีการจาบจ้วงสถาบันไม่ได้ และคิดว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลเอาผิดผู้ชุมนุมในมาตรา 112 ได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังเป็นผู้ที่ได้เริ่มต้นรับราชการทหารและหล่อหลอมเติบโตขึ้นในกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ฯ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ทหารเสือราชินี ซึ่งภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ได้ถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ได้สร้างความภาคภูมิใจในชีวิตอย่างหาที่สุดไม่ได้ บ่อยครั้งที่จะได้เห็นบทบาทและคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ ในการปกป้องสถาบัน เอาจริงเอาจังในการขจัดพวกจาบจ้วงล่วงละเมิดเรื่อยมา และยิ่งเห็นได้ชัดครั้งหนึ่งนั่นก็คือครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร (ผบ.ทบ.)
ส่วนพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็เคยเป็นผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ทหารเสือราชินี (ผบ.ร.21 รอ.) เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) ก่อนจะได้เลื่อนเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพภาคที่ 1
นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เขาถือได้ว่าเป็นนายทหารที่เติบโตมาจากกองทัพภาคที่ 1 ทางภาคตะวันออกมาโดยตลอด โดยสังกัดกับกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) หรือที่เรียกกันว่า “ทหารเสือราชินี” ถือได้ว่าเป็นนายทหารรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับนายทหารอดีตผู้บัญชาการทหารบกสองนาย คือ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา