นายกฯย้ำพร้อมหนุนร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น!?! ชูปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากทั่วภูมิภาค

2075

การประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น พิจารณาตามกรอบยุทธศาสตร์โตเกียว 2018 ใน 3 เรื่องคือแผนแม่บท ACMECS, ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิคและเป้าหมายการพัฒนายั่งยืน ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทย พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ได้เน้นย้ำความสำคัญของกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น และได้เสนอความร่วมมือหลัก 3 ประการ เพื่อรับมือและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-19 ด้านสาธารณสุข ผลักดันหลักประกันสุขภาพทั่วหน้า,เชื่อมโยงซัพพลายเชนและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน ด้วยเศรษฐกิจใหม่และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2563 เวลา 11.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 12 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนจาก เวียดนาม กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย และนายซูกะ โยชิฮิเดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เข้าร่วมด้วย ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุปสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้

นายกรัฐมนตรีเวียดนามในฐานะประธานร่วมกับญี่ปุ่นได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการประชุมว่าเป็นการประชุมเพื่อทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการภายใต้ 3 สาขาหลักของยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2018 เพื่อความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น รวมทั้งหารือทิศทางของความร่วมมือให้สอดคล้องกับ 3 แนวทาง ได้แก่ 1. แผนแม่บท ACMECS 2. ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง และ 3. เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งเน้นย้ำความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อรับมือกับโควิด-19 และการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโรคโควิด-19

ด้านนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ต้องเร่งสร้างความเชื่อมโยงในทุกมิติเพื่อความมั่นคงและสันติภาพในภูมิภาค  กลไกความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นจะช่วยขับเคลื่อนเพื่อประโยชน์ของภูมิภาค โดยญี่ปุ่นได้สนับสนุนทั้งเงินทุน ทักษะ โครงการ และการพัฒนาศักยภาพของชุมชน เป็นต้น นอกจากนี้ ความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน นับเป็นเรื่องสำคัญและสามารถร่วมมือกันได้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง รวมทั้ง ยังจะมีข้อริเริ่มใหม่ ๆ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันในอนาคต

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในลักษณะพหุภาคีและความเป็นหุ้นส่วนกัน เพื่อรับมือกับโรคโควิด-19 และฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ทั้งในระดับโลก ภูมิภาค และอนุภูมิภาค โดยสิ่งที่ควรเร่งดำเนินการมากที่สุด คือการเร่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้รวดเร็วและยั่งยืนโดยใช้วิกฤตโควิด-19 เป็นโอกาสในการวางรากฐานทางเศรษฐกิจใหม่ และยกระดับมาตรฐานในทุกด้าน ทั้งด้านความมั่นคงของมนุษย์ และด้านโครงสร้างพื้นฐานและการประกอบธุรกิจ โดยเสนอความร่วมมือ 3 ประการ ดังนี้

-ความร่วมมือด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะการทำให้อนุภูมิภาคบรรลุระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage: UHC) โดยสามารถใช้ประโยชน์จากประสบการณ์และความสามารถของไทยในการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ความสามารถการเข้าถึงยาและวัคซีนที่เท่าเทียมกัน ในราคาสมเหตุสมผล รวมทั้งสนับสนุนให้ยาและวัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะของโลก

-การสร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้ไร้รอยต่อ ยืดหยุ่น และยั่งยืน โดยไทยให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานในอนุภูมิภาคผ่านโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการสะพานไทย ซึ่งเชื่อมโยง EEC กับเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) และ โครงการ Land Bridge ซึ่งเชื่อมโยงถนนระหว่างท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามันกับอ่าวไทย ซึ่งญี่ปุ่นสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการฯ ดังกล่าวได้ รวมทั้ง ความสำคัญของความเชื่อมโยงทางกฎระเบียบและความเชื่อมโยงทางดิจิทัล โดยสนับสนุนให้กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นจัดทำแผนแม่บทการส่งเสริมการเชื่อมโยงดังกล่าว

-การส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการพัฒนาระดับรากหญ้าในอนุภูมิภาค

ลุ่มน้ำโขง โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพร่วมกับญี่ปุ่นในการจัดเวทีหารือกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 1 ณ ประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และแบ่งปันประสบการณ์เพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ด้านระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวนโยบายที่ไทยใช้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีเป็นที่ญี่ปุ่นประกาศให้ปี 2564 เป็นปีแห่งความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น เพราะจะเป็นโอกาสอันดีในการกระชับความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมเพื่อสานสัมพันธ์และสร้างความร่วมมือระดับประชาชนในช่วงหลังโควิด-19 และจะได้กลับมาพบปะกันอีกครั้งในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 13 ที่กรุงโตเกียว เพื่อเสริมสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้แก่ภูมิภาคต่อไป

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงกรอบความร่วมมือ ACMECS ที่ญี่ปุ่นให้ความสนใจว่า กัมพูชาจะจัดการประชุมในวันที่ 9 ธันวาคม นี้ ผ่านระบบวิดีทางไกล และย้ำว่า ACMECS Master Plan จะยังคงเดินหน้าสร้างความเชื่อมโยง 3 ด้าน ในขณะที่โลกยังเผชิญกับโรคโควิด 19 แผนงานจึงจะเน้นด้านสาธารณสุข และห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานยินดีรับสมาชิกใหม่ได้แก่ นิวซีแลนด์ และอิสราเอล