ส่องผลกระทบไทยด้านเศรษฐกิจ-ความมั่นคง?!?โจ ไบเดนคว่ำทรัมป์ทุกสนาม ส่อว่าที่ผู้นำสหรัฐคนที่ 46

2940

สำนักข่าวต่างประเทศทุกสาย รายงานผลล่าสุด: โจ ไบเดนยังนำทุกสนาม ป๊อปปูลาร์โหวตกว่า 72ล้านคะแนน, อิเล็คทอรัลโหวต 264 ต่อ 214 ทั้งนี้เจ้าตัวมั่นใจชนะแน่, รอลุ้นอีก 5 มลรัฐตัวตัดสินชะตา,‘ทรัมป์’ร้องศาลขอนับคะแนนใหม่ แต่แนวโน้มที่ไบเดนจะวิ่งเข้าเส้นชัยอิเล็คทอรัลโหวดก่อนทรัมป์ก็มาวินเห็นๆ ประเทศไทยคงต้องเตรียมพร้อมรับ ผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในภูมิภาค หลังการเลือกตั้งอย่างไม่อาจประมาทได้ เพราะยุทธศาสตร์ของไบเดนไม่ได้ต่างจากทรัมป์ คือต้านอิทธิพลจีน และความเชี่ยวชาญของพรรคเดโมแครตในสถานการณ์สงครามพิสูจน์ให้เห็นมาหลายกรณีแล้วในตะวันออกกลาง ทั้งโลกรวมทั้งไทยต่างคาดหวังว่าไบเดนจะมาเปลี่ยนสถานการณ์คุกรุ่นในทุกภูมิภาคทั่วโลกรวมทั้งทะเลจีนใต้ อาจต้องผิดหวัง

ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46
6 พฤศจิกายน 2563 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน นายโจ ไบเดน วัย 77 ปี ตัวแทนพรรคเดโมแครต แสดงความคิดเห้นต่อการนับคะแนนเลือกตั้ง ว่ารู้สึกดีและมีความมั่นใจอย่างต่อเนื่อง และจะประกาศชัยชนะ เมื่อทุกคะแนนเสียงของประชาชนผ่านการนับ พร้อมทั้งขอให้ทุกฝ่ายใจเย็น

ผลการเลือกตั้งจากรัฐแอริโซนา เพนซิลเวเนีย จอร์เจีย เนวาดา และวิสคอนซิน จะเป็นตัวตัดสินชี้ชะตาว่านายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต จะรับชัยชนะเหนือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เจ้าของตำแหน่งเดิมจากฝั่งรีพับลิกัน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐหรือไม่ ขณะที่ทรัมป์เดินเครื่องยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลสูงเรียกร้องให้หยุดการนับคะแนนในหลายรัฐ ผลการนับคะแนนเลือกตั้งสหรัฐอย่างไม่เป็นทางการนับจนถึงเวลา 05.30 น.

แนวโน้ม 5 รัฐสุดท้าย-รัฐแอริโซนา มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 11 คะแนน นับไปแล้วร้อยละ 88 นายไบเดนมีคะแนนนำทรัมป์ร้อยละ 50.5 ต่อ 48.1 -รัฐเพนซิลเวเนียมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 16 คะแนน นับไปแล้วร้อยละ 89 ทรัมป์มีคะแนนนำไบเดนอยู่ร้อยละ 50.7 ต่อ 48.1 -รัฐจอร์เจีย มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 16 คะแนน นับไปแล้วร้อยละ 98 ทรัมป์มีคะแนนนำไบเดนอยู่เพียงเล็กน้อยที่ร้อยละ 49.6 ต่อ 49.2 -รัฐเนวาดา มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 6 คะแนน รับไปแล้วร้อยละ 86 นายไบเดนมีคะแนนนำทรัมป์ที่ร้อยละ 49.3 ต่อ 48.7 และ-รัฐวิสคอนซิน มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 10 คะแนน นับไปแล้วร้อยละ 99 นายไบเดนมีคะแนนนำทรัมป์ที่ร้อยละ 49.4 ต่อ 48.8 

Popular Vote: ผลคะแนนเสียงจากประชาชนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน หรือ  ไบเดนได้ 72 ล้านคะแนน ส่วนทรัมป์ได้ 68.6 ล้านคะแนน ซีเอ็นเอ็นยังรายงานอีกว่า หากไบเดนคว้าชัยในรัฐแอริโซนาและเนวาดา ก็จะมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งครบ 270 เสียง และจะคว้าชัยในการเลือกตั้งอย่างสมบูรณ์

Electoral Vote:คะแนนคณะผู้เลือกตั้งของไบเดนใกล้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ คือ 270 เสียง จากทั้งหมด 538 เสียง ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีอยู่ 214 เสียง ซึ่งไบเดนต้องการชัยชนะในอีกเพียง 2 รัฐที่เป็นแบตเทิลกราวด์ของการเลือกตั้งครั้งนี้

ปธน.ทรัมป์ได้ทวีตข้อความ แสดงความงงงวยต่อการตีตื้นขึ้นมาของคะแนนเสียงของ โจ ไบเดน“เมื่อคืนนี้ คะแนนเสียงของผมกำลังนำอยู่ในหลายรัฐที่สำคัญ โดยเกือบทั้งหมดเป็นรัฐที่พรรคเดโมแครตเคยชนะการเลือกตั้ง แต่แล้วคะแนนเสียงที่ผมเคยนำอยู่ก็ได้เริ่มหายไปทีละรัฐอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ขณะที่มีการนับบัตรเลือกตั้งที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก” ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ

สื่อได้ชี้ให้เห็นว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวอ้างอย่างผิดๆ ในข้อความที่มีการทวีตดังกล่าว เนื่องจากผลเลือกตั้งสหรัฐ ล่าสุด การที่ โจ ไบเดน มีคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นในรัฐเพนซิลเวเนีย และมิชิแกน มีสาเหตุจากการที่เจ้าหน้าที่ได้เริ่มนับคะแนนจากบัตรเลือกตั้งที่มีการส่งทางไปรษณีย์ หลังจากที่ได้เสร็จสิ้นการนับคะแนนบัตรเลือกตั้งของผู้ที่มาหย่อนบัตรในคูหา ทั้งนี้ ผู้ที่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งซึ่งสนับสนุนพรรคเดโมแครตมักนิยมลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ ส่วนผู้ที่สนับสนุนพรรครีพับลิกันนิยมไปลงคะแนนที่คูหาเลือกตั้ง

ประว้ติว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 (ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง)
“โจ ไบเดน” ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ มีชื่อเต็มว่า โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน จูเนียร์ โดยกำลังจะอายุเต็ม 78 ปีในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว (ไบเดน เกิด วันที่ 20 พ.ย. 2485) มีบ้านเกิดที่ เมืองสแครนตัส รัฐเพนซิลเวเนีย
ในส่วนของการศึกษา ไบเดน จบปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์ ม.เดลาแวร์ (พ.ศ.2508) และ นิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต ม.ซีราคิวส์ รัฐนิวยอร์ก (พ.ศ. 2511)

ผลกระทบกับประเทศไทย-ถ้าไบเดนชนะในที่สุด
เนื่องจากการนับคะแนนยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์และ การร้องเรียนเรื่องทุจริตเลือกตั้งมีขึ้นเป็นระยะจากฝั่งปธน.ทรัมป์ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่เหมือนอดีตที่ผ่านมา  อย่างไรก็ตามทั่วโลกและกระแส”บลูเวฟ” คือคลื่นสีฟ้า ซึ่งหมายถึงพรรคเดโมแครตาก็แผ่ไปทั่วแล้ว จึงสามาระคาดแนวโน้มได้ว่าเขาอาจเป็นผู้คว้าชัย

ด้านเศรษฐกิจ:
โจ ไบเดน: ภายในประเทศ มีนโยบายด้านภาษีเน้นการเก็บภาษีคนรวยเพื่อนำมาสร้างงานให้กับชนชั้นกลางและล่าง ผ่านโครงการในส่วนภาคอุตสาหกรรม ไอที และเศรษฐกิจใหม่,เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และลงทุนเรื่องพลังงานสีเขียว แต่ไม่ได้ระบุปัญหาเรื่องการขาดดุลการค้ากับปรระเทศอื่นๆอย่างชัดเจนว่าจะจัดการกับปัญหาอย่างไร 

การลงทุนในต่างประเทศ สมัยทรัมป์ บริษัทยักษ์ใหญ่หลายรายต้องถอนจากจีน แนวโน้มย้ายฐานไปไต้หวันและเวียดนาม ซึ่งเป็นทั้งพันธมิตรและคู่แข่งการค้าของไทย  แน่นอนถ้าไบเดนมาย่อมไม่อาจลบล้างแนวคิดนี้ของทรัมป์ได้ เพราะการเคลื่อนย้ายการผลิตขนาดใหญ่ไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว แต่การลงทุนด้านไฮเทคโนโลยี ยา, ทรานสปอร์ต-โลจิสติกส์ เป็นความสนใจที่สหรัฐแบะท่าในระหว่างนี้ ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ได้เข้าพบและมีการลงนามกับรมว.การคลังของไทยด้านการลงทุนแต่ยังไม่ะระบุรายละเอียด

ด้านการค้าต่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศไทย-การตัดGSP จะดำเนินต่อไปแต่อาจจำกัดเฉพาะที่ไม่กระทบธุรกิจสหรัฐมากนัก เพราะอเมริกาต้องฟื้นฟูภาคการผลิตหลังเลือกตั้งขนานใหญ่ ซึ่งผลกระทบจากการระบาดใหญ่ไวรัส-โควิดยังสาหัสอยู่ อาหาร เกษตรยังมีโอกาสสำหรับสินค้าไทย

ด้านต่างประเทศ:
ไบเดนประกาศถ้าได้เป็นประธานาธิบดีจะกอบกู้ชื่อเสียงของอเมริกาและอาจจัดการกับจีน นั่นคือยืดยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิค ต้านอิทธิพลจีน อาจแตกต่างแค่ท่าทีลีลา, ในฐานะประธานาธิบดี เขาจะให้ความสำคัญกับประเด็นระดับชาติก่อน นั่นหมายถึงว่า เขากล่าวจะยึดแนวทางการทำงานร่วมกับนานาชาติในเวทีโลก ตรงข้ามกับนโยบายของนายทรัมป์ที่ต้องการแยกอเมริกาออกมา สัญญาว่าจะกระชับความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตร โดยเฉพาะพันธมิตรนาโต้ หมายถึงบทบาททางการทหารจะเข้มข้นจริงจังขึ้น เพราะเป็นเรื่องถนัดของเดโมแครต (ขณะที่ทรัมป์ไม่ถนัดทำสงครามและชอบขายอาวุธ)

และบอกด้วยว่าจีนควรรับผิดชอบเรื่องนโยบายการค้าและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรม แต่แทนที่จะมุ่งเป้าขึ้นกำแพงภาษี เขาเสนอผนึกกำลังกับชาติประชาธิปไตยอื่น เพื่อให้จีนเพิกเฉยไม่ได้ ภาษาชาวบ้าน “หาพวกรุม”  ซึ่งบทบาทพันธมิตรกลุ่มQUAD จะยังคงอยู่เพื่อแสวงหาพันธมิตรต้านจีนต่อไป อาจเปลี่ยนแค่ระดับผู้ปฏิบัติงาน เมื่อเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีเท่านั้น

โจ ไบเดนได้เขียนบทความตีพิมพ์ในนิตยสาร Foreign Affairs ฉบับเดือนมีนาคม – เมษายน 2563 โดยใช้ชื่อว่า Why America Must Lead the World Again แปลเป็นภาษาชาวบ้านคือ “ทำไมอเมริกาต้องกลับมาเป็นผู้นำโลกอีกครั้ง” ความหมายก็ไม่ต่างจาก “America Great Again” ของทรัมป์นั่นแหละ

โจ ไบเดน สื่อสาร ว่า “ทำไมอเมริกาต้องกลับมาเป็นผู้นำโลกอีกครั้ง” ในบทความดังกล่าว มีหลายคำถามที่โจ ไบเดน ตั้งคำถาม และ ตอบคำถามเอง เช่น เขาถามถึงเรื่องการเข้าไปทำข้อตกลงการค้ากับกลุ่มประเทศต่าง ๆ และเขาก็ตอบมันว่าแม้ไม่มีสหรัฐฯ ประเทศเหล่านั้นเขาก็ต้องทำมาค้าขายกันอยู่แล้ว แต่คำถามที่สำคัญคือ “ใครเป็นคนเขียนกฎกติกาเพื่อกำกับการค้าโลก”  รวมถึงกติกาต่าง ๆ ที่จะทำให้เกิดความเหมาะสมในทุก ๆ เรื่อง คำตอบที่โจ ไบเดน ตอบตัวเอง คือ “สหรัฐฯ ไม่ใช่ จีน” ที่จะต้องเป็นผู้กำหนดกฎกติกา ในเรื่องเหล่านี้

ในอดีตสหรัฐอเมริกาดำรงฐานะจักรวรรดินิยมครอบโลก  เป็นนักล่าเมืองขึ้นสมัยใหม่ ที่ใช้”ปริโตดอลลาร์” ควบคุมโลกนี้ทั้งใบ ผ่านระบบธนาคารที่กลุ่มอิลิทจัดตั้งและกำหนดกติกา ไม่เว้นกฎ-กติกาในการค้าขายระหว่างประเทศทั้งระบบ วันนี้มีจีนออกมาท้าทายสร้างระบบใหม่ เงินแบบใหม่ผ่านเทคโนโลยีทันสมัย ที่ทั้งโลกตอบรับ

ด้านความม้่นคง-การทหาร:
มิเชล ฟลัวร์นอย ซึ่ง น่าจะเป็นคนที่จะมานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือคุมเพนตากอน ได้เขียนบทความ เรื่อง How to Prevent a War in Asia ไปลงนิตยสารฉบับเดียวกับโจ ไบเดน คือ Foreign Affair แต่เป็นฉบับเดือนมิถุนายน 2563 ชื่อบทความคือ “จะหยุดสงครามในเอเชียได้อย่างไร” แต่บทสรุปของบทความคือ “สหรัฐฯ ควรจะต้องมีแสนยานุภาพมากพอที่จะ จมเรือรบ เรือดำน้ำ และเรือพาณิชย์ของจีนในทะเลจีนใต้ภายใน 72 ชั่วโมง” นั่นคล้ายความหมายว่าจะหยุดจีนได้ต้องก่อสงครามนั่นเอง

สำหรับประเทศไทย  สถานการณ์ร้อนทางการเมืองทั้งในสภาและท้องถนนบ่งบอกความต้องการที่แท้จริงของสหรัฐ แม้ไทยจะแสดงจุดยืนพร้อมสัมพันธ์กับมหาอำนาจทั้งขั้วสหรัฐ และขั้วจีน แต่อาจยังไม่พอ เพราะเบื้องลึกนโยบายของสหรัฐ ไม่ว่าทรัมป์หรือไบเดนจะเป็นประธานาธิบดี บริษัทและอุตสาหกรรมสร้างอาวุธของสหรัฐยังคงเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่เรื่องเกียรติศักดิ์ศรีอะไร แต่เป็นผลประโยชน์ล้วนๆ “สงครามเพื่อเศรษฐกิจ-เศรษฐกิจเพื่อสงคราม” อย่างที่สหรัฐเคยเป็นมา และจะเป็นไปอีกนาน

อีกประการหนึ่ง จอร์จ โซรอส ผู้ซึ่งอื้อฉาวในการแทรกแซงกิจการของประเทศต่างๆผ่านมูลนิธิโอเพิ่นโซไซตี้ และสนนับสนุนNGO หนุนการชุมนุมในประเทศไทย-ฮ่องกง ได้ประกาศสนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างเปิดเผยมาโดยตลอด