วิตกทั่วโลก!?!  สัมพันธ์สหรัฐและจีนร้าวฉานหนัก ทำราคาทองคำพุ่งทะยานต่อเนื่อง ตลาดหุ้นอ่อนไหวตามผลประกอบการและข่าวโควิดแผลงฤทธิ์

2006

ราคาทองคำปรับสูงต่อเนื่อง นับตั้งแต่สหรัฐอเมริกาและจีนตอบโต้กันดุเดือด ทำสัมพันธ์ร้าวฉานยากคืนดีสงครามการค้าดำเนินต่ออย่างเคร่งเครียด ทำนักลงทุนทั่วโลกแสวงหามุมปลอดภัยสำหรับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ทั้งระดับบุคคล องค์กรและประเทศชาติ ขณะที่ตลาดหุ้นยังคงอ่อนไหวไปตาม ข่าวผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาด สภาวะการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19และข่าววัคซีน

ราคาทองคำปรับขึ้นร้อนแรงต่อเนื่องถึง 5 วัน  เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนที่ตึงเครียดหนัก โดยสหรัฐสั่งปิดสถานฑูตจีนที่เมืองฮิวสตัน พร้อมกับกล่าวหาว่าจีนมีส่วนพัวพันในการโจรกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐ ขณะที่จีนตอบโต้โดยอาจลดจำนวนเจ้าหน้าที่สถานฑูตสหรัฐในฮ่องกงและปิดกงสุลสหรัฐในเมืองเฉิงตู  

นอกจากนี้สหรัฐประกาศจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานฯ อยู่ที่ระดับ 1.416 ล้านรายสูงกว่าที่ตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.30 ล้านรายโดยตัวเลขยังมากกว่า 1 ล้านรายติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 18 แม้ว่ารัฐต่างๆได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ สะท้อนถึงตลาดแรงงานสหรัฐยังคงอ่อนแอ ธุรกิจยังขาดรายได้ 

ทางด้านกองทุน SPDR ซื้อทองคำต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 โดยรวมเกือบ 20 ตัน

แนวโน้มราคาทองคำคาดปรับขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญ 1,900 ดอลลาร์หลังจากที่ราคาทองคำปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง ทั้งนี้อาจต้องเริ่มระวังแรงแทขายถ้าปรับขึ้นเข้าใกล้แนวต้านดังกล่าวแต่ถ้าผ่านขึ้นไปได้มีโอกาสไปที่จุดสูงสุดของทองคำในปี 2554 ที่ 1,920 ดอลลาร์ขณะที่มีแนวรับที่ 1,870ดอลลาร์ และ 1,850 ดอลลาร์

ตลาดหุ้นต่างประเทศ:ดาวโจนส์ปิดร่วง 353.51 จุด จากแรงขายหุ้นเทคโนฯ และข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐซบเซา

ตลาดหุ้นยูโร ขึ้น 0.2%, ตลาดหุ้นเอเซียผสมผสาน ขึ้นลง 10% ตามแรงเชียร์บริษัทไฮเทคของไต้หวัน ทำหุ้นในตลาดญี่ปุ่น เอเซียแปซิฟิคขึ้น 0.4% ส่วนจีนแผ่นดินใหญ่ CSI300 index ล่าสุดขึ้น 0.1% นอกจากนี้ S&P Future ขึ้น 0.4% ขณะที่นิเกอิ ญี่ปุ่นตก 0.5%

ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า “การกดดันจีนเป็นวิธีที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนเปลี่ยนยุทธิวิธี” สวนทางกับที่ ปธน.ทรัมป์เคยบอกว่า “สี จิ้นผิงเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่” นี่เป็นสัญญาณถึง ความตึงเครียดระดับสูงที่นักลงทุนถือว่าเป็นขั้นอันตราย ที่มีแนวโน้มเกิดผลกระทบใหญ่หลวงต่อการลงทุน ภาคการเงินการธนาคาร ตลอดจนตลาดหุ้นด้วย

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลทองค่ำราคาพุ่ง 1,943 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 ทองคำเป็นปัจจัยหลักหนุนช่วยยามเศรษฐกิจมีปัญหาขนาดใหญ่ในอดีตเสมอ  ไม่ว่าจะเป็นภาวะสงคราม ภาวะโรคระบาด

มีความคาดหวังว่า การระบาดไวรัสสายพันธ์ใหม่ โควิด-19 จะผ่อนคลายลง เนื่องจากสถิติการเสียชีวิตไม่อยู่ในภาวะอัตราเร่งอย่างที่กังวล แม้ตัวเลขติดเชื้อจะสูงก็ตาม และนักลงทุนยังคาดหวังว่า สภาคองเกรสจะอนุมัติงบประมาณเยียวยาเพิ่มเติม ที่ครอบคลุมปัญหาแรงงานที่ตกต่ำลงได้ ซึ่งปลายเดือนนี้จะถึงกำหนดสิ้นสุดการเยียวยารายย่อยแล้ว

พรรคเดโมแครตพยายามผลักดัน เพิ่มงบประมาณเยียวยาผู้ว่างงานให้คงสภาพ สัปดาห์ละ 600 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ในส่วนของพรรครีพับลิกันเสนอสภาให้ตัดงบฯลง เป็นสัปดาห์ละ 200-300 ดอลลาร์สหรัฐเพิ่อเป็นแรงจูงใจให้คนออกไปทำงานมากกว่า อยู่ที่บ้าน

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ลดลง 0.4% ซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบสองปีก็ว่าได้

……………………………………….

https://www.reuters.com/article/us-global-markets-idUSKCN24S01R