ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามบังคับใช้กฎหมายคว่ำบาตรจีนและลงนามในคำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) เพื่อถอดถอนสถานะพิเศษของฮ่องกงอย่างเป็นทางการ จีนโต้กลับประกาศลงโทษบริษัท ล็อกฮีด มาร์ติน ของสหรัฐที่ขายอาวุธให้ไต้หวันทันที
ปธน.ทรัมป์ ประกาศมาตรการลงโทษจีน ในประเด็นการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่กับฮ่องกง ซึ่งเอื้อให้รัฐบาลจีนมีอำนาจควบคุมเขตกึ่งปกครองตนเองแห่งนี้มากขึ้น
“ตอนนี้ฮ่องกงจะได้การปฏิบัติจากสหรัฐฯเหมือนกับจีนแผ่นดินใหญ่ โดยปราศจากสิทธิพิเศษใดๆ และจะเพิ่มมาตรการทางภาษีกับสินค้านำเข้าจากฮ่องกงอีกด้วย”ทรัมป์ขู่ในงานแถลงข่าววันอังคาร (14 ก.ค.2563)ก่อนหน้านี้ วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ ผ่านร่างกฎหมายลงโทษธนาคารที่ทำธุรกิจกับเจ้าหน้าที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายความมั่นคง ซึ่งจีนเพิ่งบังคับใช้กับฮ่องกง
วันพุธ (15 ก.คง 2563) กระทรวงการต่างประเทศของจีนแถลงตอบโต้สหรัฐว่า “รัฐบาลปักกิ่งจะออกมาตรการที่เหมาะสมต่อ “บุคคลและสถาบัน” ในสหรัฐเพื่อตอบโต้ที่สหรัฐออกกฎหมายที่พุ่งเป้าไปยังบรรดาธนาคารที่ทำธุรกรรมกับเจ้าหน้าที่จีน
เจ้า ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงเรียกร้องให้อเมริกาหยุดขายอาวุธให้ไต้หวันเพื่อหลีกเลี่ยงการบ่อนทำลายความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ มากไปกว่านี้ รวมถึงความสงบสุขและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน
เจ้าสำทับว่า เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ จีนตัดสินใจดำเนินมาตรการที่จำเป็นและประกาศแซงก์ชันบริษัทล็อกฮีด มาร์ติน ซึ่งเป็นผู้รับเหมาสัญญาหลักในการขายอาวุธให้ไทเป
ทั้งนี้ สำนักข่าวซีเอ็นเอ สื่อใหญ่ของไต้หวันรายงานว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้อนุมัติคำขอของรัฐบาลไต้หวัน ที่จะซื้อขีปนาวุธมูลค่าถึง 620 ล้านดอลลาร์
ทางด้านล็อกฮีด มาร์ตินออกคำแถลงว่า การขายอาวุธให้กองทัพต่างชาติเป็นการทำธุรกรรมระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล และบริษัทล็อกฮีตฯ ทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ลูกค้าต่างชาติมาโดยตลอด
ถึงแม้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับไต้หวัน รวมทั้งได้ให้คำมั่นเมื่อตอนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับปักกิ่งว่าจะเคารพนโยบาย “จีนเดียว” แต่อเมริกาก็ยังคงมีกฎหมายที่กำหนดให้ความช่วยเหลือไต้หวันให้สามารถปกป้องตนเองได้อีกด้วย นั่นหมายถึงล็อกฮีตปฏิเสธคำขอของรัฐบาลจีนนั่นเอง
ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐนั้นได้ทรุดลงสู่ระดับต่ำสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยทั้งสองฝ่ายได้นำ มาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจการค้า และความมั่นคงสาดใส่กันไปมาพุ่งเป้าบีบธนาคารและบริษัทยักษ์ของแต่ละฝ่าย
ก่อนหน้านี้ สหรัฐได้เพิ่มมาตรการกดดันบริษัทหัวเว่ย ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน รวมทั้งบริษัทอื่น ๆ ในเครือ ขณะที่จีนก็เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯและบรรดาวุฒิสมาชิก โทษฐานแทรกแซงกิจการภายในของจีนซึ่งรวมถึงกรณีขัดแย้งในฮ่องกง
สำหรับคำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) ที่ปธน.ทรัมป์ลงนามไปนั้น มีเนื้อหาว่า จะยุติการปฏิบัติทางเศรษฐกิจเป็นพิเศษแก่ฮ่องกง รวมถึงยกเลิกการปฏิบัติเป็นพิเศษแก่ผู้ถือหนังสือเดินทางฮ่องกง
ส่วนกฎหมายที่สภาคองเกรสอนุมัตินั้น ให้มีบทลงโทษธนาคารที่ทำธุรกรรมกับเจ้าหน้าที่จีนที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหมายความมั่นคงใหม่ในฮ่องกง โดยจะให้มีการระงับทรัพย์สินในสหรัฐของบุคคลที่ต้องรับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องต่อการกระทำ หรือนโยบายที่บั่นทอนกระบวนการทางประชาธิปไตยหรือสถาบันในฮ่องกง นอกจากนี้ ยังสั่งให้เจ้าหน้าที่ยกเลิกข้อยกเว้นในการอนุญาตให้ส่งสินค้าออกไปยังฮ่องกงด้วย
นักวิจารณ์กล่าวกันว่า เมื่อทรัมป์โดนวิจารณ์เรื่องการรับมือการระบาดของโควิด-19 ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นไม่หยุด ทำให้เขาหันมาโจมตีจีนอย่างดุเดือดมากขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ แต่หลายคนมองว่า การยุติสถานะพิเศษของฮ่องกงจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ของสหรัฐในที่สุด เพราะผลประโยชน์ทางด้านการค้าที่ทำให้สหรัฐเกินดุลการค้าต่อฮ่องกง 26,100 ล้านดอลลาร์ จะมลายหายไป และข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเผยว่า มีพลเมืองอเมริกันอาศัยอยู่ในฮ่องกง 85,000 คนเมื่อปี 2561 และบริษัทอเมริกันมากกว่า 1,300 แห่งที่ดำเนินการที่นั่น รวมถึงบริษัทการเงินรายใหญ่เกือบทุกแห่งของสหรัฐ จะต้องได้รับผลกระทบอย่างสาหัส ไม่นานนับจากนี้
……………………………..