สาหัส -กัปตันอเมริกาในชีวิตจริง นายทหารผ่านศึกเจอพิษโควิด-ชัดดาวน์ เร่งอัตราปลิดชีพสูงต่อเนื่อง

3042

หลังวันชาติสหรัฐฯ 4 ก.ค.2563 เพียง 2 วัน จ่าสิบเอก แอนดรูว์ คริสเตียน ,มาร์เคสซาโน นายทหารผ่านศึกอาฟกันมาโชกโชนถึง 12 ครั้งกลับสหรัฐฯอย่างวีรบุรุษ แต่กลับมาปลิดชีพตนเองหลังพบว่าสภาพจิตใจย่ำแย่ ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานแต่ถูกเมิน ทิ้งภรรยาและลูกสาว 2 คนไว้เบื้องหลัง เพื่อนทหารคนสนิทเรียกเขาว่า “เขาคือกัปตันอเมริกาที่แท้จริง”

ปัญหาการใช้ชีวิตและทางจิตใจของอดีตทหารผ่านศึก ยังเป็นบาดแผลลึกในสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางการระบาดโควิด-19 ความพยายามทำอัตวินิบาตกรรมตนเอง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และยังแก้ไม่ตก

หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ เคยเรียกแรงกดดันที่พวกทหารผ่านศึกต้องเผชิญว่าเป็น “สงครามครั้งใหม่” ในชีวิตจริง อัตราการฆ่าตัวตาย พุ่งสูงในหมู่ทหารผ่านศึกอิรักและอัฟกานิสถาน จำนวนทหารที่หันอาวุธเข้าใส่กันและกันตลอดจนหันเข้าใส่ตนเองซึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลเนื่องมาจาก “อาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังความเครียดที่สะเทือนใจ”

ปัญหาเหล่านี้เชื่อมโยงกับสงครามใหญ่ทั้ง 2 สมรภูมิคือสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นสงครามรุกรานและการยึดครอง ได้ส่งผลมหาศาลและร้ายแรงต่อคนหนุ่มคนสาวที่ได้รับคำสั่งให้สู้รบในศึกเหล่านั้นที่วันนี้ ชราทั้งกายเหนื่อยหน่ายท้อแท้ทั้งใจ ในวิถีชีวิตที่ธรรมดาแต่สาหัส สำหรับพวกเขา

นานวันความผิดชอบชั่วดีทางศีลธรรม และทางกฎหมายที่พึงต้องมีต่อความวิบัติหายนะของชาวอัฟกันและชาวอิรักยิ่งกัดกินใจเหล่าทหารผ่านศึกไม่รุ้จาง

แม้นักเคลื่อนไหวในสหรัฐฯ จะรณรงค์เรียกร้อง “สิทธิที่จะได้รับการเยียวยา” (righttoheal) ขอให้ยุติวิธีปฏิบัติของกองทัพ ในการจัดส่งทหารที่ถูกตรวจพบว่ามีอาการ PTSD, การบาดเจ็บทางสมอง, และบาดแผลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ กลับไปยังสนามรบ ความต้องการดังกล่าวนี้เพื่อคลี่คลายปัญหาการทำอัตวินิบาตกรรม, การใช้ความรุนแรงภายในครอบครัว, และปัญหาอื่นๆ ซึ่งกำลังประสบกับทหารผ่านศึกจำนวนมากที่เดินทางกลับจากสนามรบพร้อมด้วยอาการบาดเจ็บจากจิตใจอย่างรุนแรง

เฉลี่ยแล้วทหารผ่านศึกอเมริกันทำอัตวินิบาตกรรมตัวเองปีละราว 6,000 นาย ช่วงปี 2550 มากที่สุด 6,139 นาย หรือเฉลี่ยวันละ 2.5 คน อัตราของทหารผ่านศึกสตรีใช้อาวุธปืนจบชีวิตตัวเองประมาณ 43.2 เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบกับทหารชายใช้ปืนปลิดชีพตัวเอง 70.7 เปอร์เซ็นต์ สำนักงานกิจการทหารผ่านศึก (VA) นำออกเผยแพร่เมื่อเดือน ก.ย.2562 ทหารผ่านศึกสงครามและก่อเหตุ พบว่าเกือบร้อยละ 70 ไม่เคยเข้ารับคำปรึกษาหรือเคยรับการตรวจสภาพจิตหรือดูแลบำบัดด้านจิตเวช เพราะส่วนใหญ่มักคิดว่าการกลับจากศึกสงครามคือการสิ้นสุดสภาวการณ์เลวร้าย ชีวิตปกติสุขกำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

แม้รัฐบาลสหรัฐฯพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการทุ่มงบประมาณและจัดตั้งหน่วยงานช่วยเหลือทหารผ่านศึกแล้ว รวมถึงใช้กลยุทธ์ดึงองค์กรต่างๆ ตั้งแต่ระดับชุมชน องค์กรด้านศาสนา โรงเรียน สถานที่ทำงานและหน่วยงานสาธารณสุขเข้ามามีส่วนร่วมช่วยเหลือแต่ก็ยังไม่เห็นผลตามที่คาดหวัง ระหว่างปี 2560–2561 อัตราการฆ่าตัวตายของเหล่าทหารผ่านศึกลดลงเล็กน้อย แต่ตัวเลขกลับเพิ่มขึ้นอีกตลอดช่วงปี 2562
………………………………………………..

Cr:foxnews