สหรัฐฯเที่ยวชี้หน้าประเทศอื่นๆว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย ละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกระทำฝ่ายเดียวไม่ต้องมีการสอบสวน ล่าสุดประกาศ คว่ำบาตรผู้ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจีน เมียนมา เกาหลีเหนือ และบังกลาเทศในวันสิทธิมนุษยชน จีนสวนเจ็บสหรัฐฯลืมดูตัวเองว่า ได้คะแนนประชาธิปไตยเสื่อมสุด และยังละเมิดสิทธิ์ฯคนอเมริกันด้วยกันเองอย่างสองมาตรฐาน ทั้งปัญหาผิวสี-ผิวขาว ปัญหาเกลียดชังเอเชีย ปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย ปัญหาผู้อพยพ ยาเสพติด ค้ามนุษย์ ดูไปแล้วในโลกนี้จะเหลือใครที่อยากทำมาค้าขายกับสหรัฐบ้าง และยิ่งเป็นการผลักมิตรประเทศให้ตีจากดอลลาร์สหรัฐเร็วยิ่งขึ้น
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.2564 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน ว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจีน เมียนมา เกาหลีเหนือ และบังกลาเทศ รวม 25 ราย เนื่องในวันสิทธิมนุษยชนสากล ได้แก่
1) บริษัทเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ SenseTime ของจีน ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าที่จีนใช้กับชาวอุยกูร์
2) จนท.ระดับสูงของเมียนมา 4 คน ที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามผู้ประท้วงในเมียนมา ได้แก่ Myo Swe Win มุขมนตรีภาคพะโค Saw Myint Oo มุขมนตรีรัฐกะเหรี่ยง Maung Ko มุขมนตรีภาคมัณฑะเลย์ และ Khat Htein Nan มุขมนตรีรัฐคะฉิ่น ทั้งนี้ แคนาดาและสหราชอาณาจักรร่วมมือกับสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตร จนท.เมียนมาดังกล่าวเช่นกัน
3) สนง.อัยการเกาหลีเหนือ และองค์กรในจีนและรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกแรงงานเกาหลีเหนือ และ
4) หน่วยงาน Rapid Action Battalion (RAB) ของบังกลาเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำสงครามต่อต้านยาเสพติด ในประเทศ เป็นต้น
วอลลีย์ อาเดเยโม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า “มาตรการของสหรัฐฯ ในวันนี้ โดยเฉพาะในส่วนที่ร่วมมือกับสหราชอาณาจักรและแคนาดา ถือเป็นการส่งสารว่าชาติประชาธิปไตยทั่วโลกพร้อมที่จะตอบโต้ผู้ที่ใช้อำนาจรัฐในทางมิชอบเพื่อสร้างความทุกข์ทรมานและกดขี่ประชาชน”
กรณีนี้สถานทูตจีนประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ออกมาประณามความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ว่า “เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีนอย่างร้ายแรง” และ “ละเมิดหลักการขั้นพื้นฐานในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ”
หลิว เผิงอี๋ว์ โฆษกสถานทูตจีน เตือนว่าเรื่องนี้อาจกระทบความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ อย่างรุนแรง และขอให้วอชิงตันเพิกถอนมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าว
หวัง เหวินปินโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ตอบโต้การคว่าบาตรของสหรัฐและสมุนบริวารว่า “โลกยังไม่ลืมว่าสหรัฐฯ สังหารชาวอเมริกันอินเดียนอย่างไร้ความปราณี บังคับขับไล่และกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบผ่านการออกกฎหมาย มีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติมากมายต่อชาวอเมริกันอินเดียน ซึ่งถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพฤตินัย”
ประเทศที่เกี่ยวข้องอ้างว่าเป็น “ต้นแบบสิทธิมนุษยชน” และ “ผู้พิพากษาสิทธิมนุษยชน” และวิจารณ์อย่างไร้ความรับผิดชอบ อ้างวิตกเกรงกลัวต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศอื่น ในความเป็นจริง พวกเขาได้หลบเลี่ยงและประเมินผลการละเมิดสิทธิมนุษยชนของตนเองที่เคยเกิดขึ้นในอดีตและยังคงเกิดขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ โดยทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจมีแค่คำขอโทษ แต่ไม่มีมาตรการติดตามเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดและเสนอการชดใช้ กลไกดังกล่าวไม่สามารถหลอกลวงโลกได้อีกต่อไป และพวกเขาจะได้รับผลจากการกระทำอย่างแสนสาหัสในที่สุด