สหรัฐผวา!!ครั้งแรกในรอบหลายสิบปี รัสเซีย-อาเซียน ซ้อมรบทะเลจีนใต้ ธ.ค.นี้

1474

ท่ามกลางการแข่งขันซื้อใจอาเซียนทั้งจากสหรัฐและจีน  ถึงคราวรัสเซียเปิดบทบาทด้านความมั่นคงอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ซุ่มร่วมมือกับหลายประเทศในอาเซียนด้านเศรษฐกิจอย่างเงียบๆมานาน ล่าสุด อาเซียนจะร่วมฝึกซ้อมทางทะเลกับรัสเซียเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ช่วงต้นเดือน ธ.ค.ที่จะถึงนี้ เรือรบต่อต้านเรือดำน้ำขนาดใหญ่ แอดมิรัล แพนทะเลเยฟ (Admiral Panteleyev) จะเป็นตัวแทนของรัสเซียในการฝึกซ้อม

เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2564 สำนักข่าวทาซของรัสเซีย (TASS) รายงานว่า รัสเซียและอาเซียนจะดำเนินการซ้อมรบร่วมทางทะเลระหว่างกันเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 1-3 ธ.ค.2564 ที่น่านน้ำบริเวณเกาะสุมาตราเหนือของอินโดนีเซีย โดยรัสเซียจะส่งเรือต่อต้านเรือดำน้ำแอดมิรัลฯ (Admiral Panteleyev) เข้าร่วมการฝึกซ้อมกับกองทัพเรือของประเทศสมาชิกอาเซียน 

อเล็กซานเดอร์ อิวานอฟ (Alexander Ivanov) ทูตถาวรของรัสเซียประจำอาเซียน กล่าวว่า  “การซ้อมรบทางเรือรัสเซีย-อาเซียนจะมีขึ้นในพื้นที่สุมาตราเหนือในน่านน้ำของอินโดนีเซียในวันที่ 1-3 ธันวาคม2564” 

การซ้อมรบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกฝน “การทำงานร่วมกันของกองทัพเรือรัสเซียและกองทัพเรือของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อให้แน่ใจว่ากิจกรรมการค้าทางทะเลและการขนส่งปลอดภัย”

นายปราโบโว ซูเบียนโต(Prabowo Subianto) รมว.กลาโหมอินโดนีเซียจะเข้าร่วมพิธีเปิดการฝึกด้วยกล่าวว่าการฝึกซ้อมดังกล่าวแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การฝึกซ้อมเสมือนและการฝึกซ้อมทางทะเล

เมื่อเร็วๆนี้ รัสเซียและอาเซียนได้จัดประชุมสุดยอดระหว่างกันผ่านระบบการประชุมทางไกลเมื่อวันที่  28 ต.ค.2564 ในวาระครบรอบ 30 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน การประชุมสุดยอดได้จัดทำบันทึกข้อตกลงจำนวนมากที่มุ่งพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ต่อไป และบรรดาผู้นำชาติอาเซียนต่างเห็นชอบให้จัดปฏิบัติการทางเรือระหว่างรัสเซีย-อาเซียนเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี

ปธน.วลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดรัสเซีย-อาเซียนผ่านการประชุมทางไกล วิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ด้านผู้นำชาติอาเซียนเข้าร่วมประชุมครั้งนี้อย่างพร้อมหน้า ได้แก่ สุลต่านและประมุขแห่งบรูไนดารุสซาลามซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ฮัสซานัล โบลเกียห์ เข้าร่วมการประชุม นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาฮุนเซน; ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โจโค วิโดโด(Joko Widodo); พันคำ วิภาวัน นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว; นายกรัฐมนตรีอิสมาอิล ซาบรี ยาคอบ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย; ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์เต; นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ ลี เซียนลุง; นายกรัฐมนตรีประเทศไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ; นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ฟาม มินห์ ชินน์ (Pham Minh Chinh); และเลขาธิการสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)  ลิม จ็อค ฮอย(Lim Jock Hoi)

บรรดาผู้นำได้สรุปผลของความร่วมมือระยะยาว พิจารณาวิธีขยายปฏิสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และมนุษยธรรม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ปูตินกล่าวในการประชุมสุดยอดว่า ความท้าทายและภัยคุกคามในเอเชียแปซิฟิกกำลังเพิ่มขึ้น และ สถานการณ์ความขัดแย้งทั้งเก่าและใหม่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

เขาเชิญผู้นำอาเซียนเข้าร่วม “การสนทนาอย่างจริงจังในประเด็นนี้” โดยเสริมว่า “รัสเซียสนับสนุนการจัดตั้งระบบความมั่นคงที่เท่าเทียมกัน และแบ่งแยกไม่ได้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศของความร่วมมือเชิงสร้างสรรค์ตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งเคารพในอธิปไตย ความเสมอภาค และคำนึงถึงผลประโยชน์ของกันและกัน ขณะนี้เรามีโอกาสที่แท้จริงในการกระชับความร่วมมือระหว่างรัสเซียและอาเซียน รวมถึงการเสริมสร้างความมั่นคงและ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังเกิดโรคระบาด การกระตุ้นการค้า และการขยายการติดต่อด้านมนุษยธรรม”

ด้านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย ได้แถลงสนับสนุนให้รัสเซียดำเนินความร่วมมือในทางปฏิบัติในด้านต่างๆ ที่ระบุไว้ภายใต้ ASEAN Outlook on the Indo-Pacific (AOIP) และยินดีกับข้อเสนอของรัสเซียที่จะกำหนดให้ปี 2022 เป็นปีแห่งความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างอาเซียน-รัสเซีย เพื่อสร้างความร่วมมือ ในสาขาความเชี่ยวชาญของรัสเซียโดยเฉพาะด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนตลอดจนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนชีวภาพหรือ BCG Model 

นายกรัฐมนตรีไทยยังสนับสนุนการส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างสองภูมิภาค โดยสอดคล้องกับความริเริ่มเกรทเตอร์ ยูเรเชียน พาร์ตเนอร์ชิปฯ (Greater Eurasian Partnership Initiative) ของรัสเซีย และแผนแม่บทของอาเซียนว่าด้วยการเชื่อมโยงอาเซียน (MPAC) 2025 ภายใต้โครงการคอนเน็คติ้ง เดอะ คอนเน็คทิวิตีส์ (Connecting the Connectivities) เพื่อการฟื้นตัวหลังโควิด-19อีกด้วย