หลังจากเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่แสดงท่าทีชัดเจนที่จะลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ประกาศต่อหน้าผู้สมัคร ส.ก.ที่ให้การสนับสนุนว่า “ตัดสินใจว่าจะไม่ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.แล้ว”
และต่อมาทางด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ประกาศถอนตัวจากการเป็นว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จากนี้พรรค พปชร.จะส่งใครอีกหรือไม่ ว่า “ยังๆ”
เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ บ้างหรือยัง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยัง ๆ ไม่ได้คุย
แม้ว่าการถอนตัวของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ จะอ้างว่า เพื่อไม่ต้องการปะทะกับรุ่นพี่อย่าง “บิ๊กวิน” พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ก่อนหน้านี้แสดงความจำนงว่า ต้องการลงแข่งขันครั้งหน้า ต่อให้พรรคพลังประชารัฐไม่สนับสนุนเขา แต่สนับสนุนพล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็ตาม จนทำให้มีกระแสข่าวด้วยว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ อาจจะต้องไปรับตำแหน่งที่ใหญ่กว่า ตามที่ผู้ใหญ่เห็นสมควร
ทั้งนี้ย้อนไปเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ประกาศว่า ตัดสินใจจะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) แต่ยังไม่พร้อม 100% อีกทั้งยังกล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ เรื่องการส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ว่า “จะสนับสนุนผมไหม ไม่ทราบ พรรคเดียวกัน คนละพวกก็มีเยอะ พวกเดียวกันคนละพรรคก็มี แต่สำหรับผมส่วนใหญ่มีแต่พรรคพวก ดังนั้นจะเลือกใครก็ได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. แต่ขอให้เป็นคนดี แต่คนที่จะลงผมก็เชื่อว่าเป็นคนดีทั้งหมด”
ตนอาจเสียเปรียบที่สุด เพราะไม่มีพื้นฐานการเมืองมาก่อน รับราชการตำรวจมาตลอดชีวิต แต่ข้อได้เปรียบ หรือ จุดเด่นของตน คือ รู้ปัญหาของ กทม. รู้ความต้องการของคน กทม. ที่สำคัญรู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร เพราะที่ผ่านมาตนลงพื้นที่ตลอด อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถประเมินได้ว่าคนกทม.จะสนับสนุนตนหรือไม่
“คน กทม.อาจจะเบื่อตำรวจ เพราะผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบัน ก็เป็นตำรวจและอยู่มา 4 ปี แต่จุดขายของผมเป็นตำรวจที่มีคุณงามความดีที่ประชาชนเห็นผลงาน ขออย่ามองเหรียญด้านเดียว ซึ่งนายกรัฐมนตรีในอดีตมีทั้งตำรวจ ทหารและพลเรือน”
แต่แล้วการถอนตัวของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็มีเบื้องหลังที่อาจจะเป็นไปได้ว่า เจ้าตัวจะเข้ามามีบทบาทในพรรคพลังประชารัฐมากขึ้น เพราะวงในต่างเปิดเผยว่า “ธรรมนัส” จะดึง “พล.ต.อ.จักรทิพย์” มาเป็นหัวหน้าพรรค โดยก่อนหน้านี้ ร.อ.ธรรมนัส ออกมายืนยันว่าสนิทกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เหมือนคอหอยกับลูกกระเดือก เป็นผู้มีบุญคุณ ตัดสินใจอย่างไรต้องเคารพ และในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา มีรายงานข่าวจากพปชร. แจ้งว่า หลังประชุมพรรค พล.อ.ประวิตร เรียกแกนนำและส.ส. บางคน ส่วนใหญ่กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส และนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค มาหารือหลัง “พล.ต.อ.จักรทิพย์” ประกาศถอนตัวเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น
และเมื่อวันที่ 8 พ.ย. นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคพลังประชารัฐ ยังได้ออกมาเปิดเผยถึงกระแสข่าว พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร.เตรียมเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า ว่าหากทันทีที่มีความชัดเจนจะแจ้งให้ทราบ
เมื่อถามว่า มีการยื่นใบสมัครมาที่พรรคหรือยัง นายบุญสิงห์ กล่าวว่า ตนเพิ่งเดินทางมาจากต่างจังหวัด ยังไม่เห็นรายละเอียด และยังไม่ได้เข้าพรรค ซึ่งการสมัครจะมีระบบระเบียบอยู่แล้ว ถ้าสมัครจริงจะเข้าสู่ระบบ จากนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนจะมารายงานตนในฐานะนายทะเบียนพรรค และเมื่อมีความชัดเจนก็จะแจ้งให้ทราบ เมื่อถามว่า มีรายชื่อ บิ๊กเนม ที่จะเข้ามาสมัครหลายคนหรือไม่ นายบุญสิงห์ เลือกที่จะไม่ตอบสื่อ
อย่างไรก็ตามกระแสการถอนตัวของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่มาพร้อมกับข่าววงใน ว่าอาจจะได้เข้ามามีบทบาทในพรรคพลังประชารัฐนั้น อาจจะต้องจับตาถึงความเป็นไปได้อย่างใกล้ชิด เพราะมีความเป็นไปได้สูงมากที่ “ธรรมนัส” จะดึงตัวเข้ามาในทีม เนื่องจากมีความสนิทสนนฉันท์พี่น้อง รุ่นพี่-รุ่นน้องสายตำรวจมาก่อน และตัวของพล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังมีความสนิทสนมกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตบิ๊กตำรวจ ที่เป็นน้องชายของ “บิ๊กป้อมด้วย” เพราะเคยส่งกำลังใจให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เมื่อครั้งลุยภารกิจกราดยิงโคราช เรียกว่างานนี้สายสัมพันธ์พี่น้องตำรวจเหนียวแน่น ยิ่งอาจจะมีมูลว่าการถอนตัวจากผู้สมัครลงรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เป็นการออกมาเพื่อรับตำแหน่งใหญ่กว่าเดิม ตามที่มีกระแสข่าวสะพัดในแวดวงการเมืองในช่วงที่ผ่านมา