ก้าวไกล หาเรื่องเสียโง่ ใส่ยับ “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่ออกตัวป้องเมียนมา ทั้งที่ทั่วโลกรู้ว่าทำไม่ได้!!

2663

พรรคก้าวไกล หาเรื่องเสียโง่ ใส่ยับ “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่ออกตัวป้องเมียนมา ทั้งที่ทั่วโลกรู้ว่าทำไม่ได้!!

จากกรณีเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564  อองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ, อู วินมิ่นท์ ประธานาธิบดีเมียนมา และผู้นำคนอื่น ๆ ได้ถูกควบคุมตัวโดยกองทัพเมียนมา ต่อมาได้มีการจับกุม อองซาน ซูจี ในช่วงที่กำลังเกิดความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพเมียนมา ท่ามกลางกระแสข่าวว่าอาจเกิดการรัฐประหารโดยกองทัพเพื่อล้มรัฐบาล โดยอ้างข้อกล่าวหาว่ามีการทุจริตเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2563 ซึ่งพรรคของนางซู จี ได้รับชัยชนะถล่มทลาย ต่อมาทางกองทัพเมียนมา ประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉิน เสมือนเป็นการยึดอำนาจ แล้ว ตั้ง “รองปธน. Myint Swe” เป็น ประธานาธิบดี คุมอำนาจ 1 ปี

ต่อมาทางด้าน พรรคก้าวไกล ได้ออกแถลงการณ์ เปิดข้อเรียกร้อง 3 ข้อ จุ้น รัฐประหารเมียนมา พร้อมประณามเสนอให้คว่ำบาตรคณะรัฐประหารทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยระบุข้อความว่า

แถลงการณ์ต่อกรณีการรัฐประหารในประเทศเมียนมา (Statement on the Military Coup in Myanmar, English version below)
พรรคก้าวไกล ติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของประเทศเมียนมา ด้วยความห่วงใยตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากมีกระแสข่าวว่ากองทัพเมียนมาจะทำการรัฐประหาร รัฐบาลพลเรือนที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งจากประชาชนอย่างถล่มทลาย โดยอ้างเหตุผลว่าพรรครัฐบาลโกงการเลือกตั้ง
ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา แม้โครงสร้างการเมืองของเมียนมาจะยังคงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพ ด้วยการกำหนดโควต้าผู้แทนและรัฐมนตรีจำนวนหนึ่งให้กองทัพ แต่บนเส้นทางประชาธิปไตยของเมียนมา ประชาชนยังคงได้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องและสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากประชาชนได้
เป็นที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง ที่วันนี้ผู้นำทหารของเมียนมา ทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญที่ตัวเองร่างขึ้นมา ทำลายพัฒนาการประชาธิปไตย และที่ร้ายแรงที่สุด คือการทำลายเจตจำนงของประชาชน ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า กองทัพเมียนมาได้เข้าควบคุมตัวผู้นำของรัฐบาลพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ผู้นำชนกลุ่มน้อย และนักกิจกรรมหลายคน รวมทั้งตัดการติดต่อสื่อสารทุกช่องทาง
จากเหตุการณ์ดังกล่าว พรรคก้าวไกล พรรคการเมืองที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย และต่อต้านการรัฐประหารของประเทศไทย ขอประณามการรัฐประหารของกองทัพเมียนมา ที่นำโดย พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพรรคก้าวไกลขอเรียกร้องต่อพรรคการเมือง และรัฐบาลในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประชาคมระหว่างประเทศและประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ดังนี้
1. เรียกร้องให้ช่วยกันกดดันกองทัพเมียนมาให้ปล่อยตัวนางซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ, ประธานาธิบดีวิน มินต์, และผู้ที่ถูกกองทัพควบคุมตัวทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข
2. เรียกร้องให้ช่วยกันกดดันกองทัพเมียนมาไม่ให้ใช้กำลังปราบปรามประชาชนเมียนมาที่ออกมาต่อต้านการรัฐประหาร และต้องยุติการปิดกั้นการสื่อสารทุกชนิด ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน
3. เรียกร้องให้พรรคการเมืองและรัฐบาลต่างๆ มีมาตรการคว่ำบาตรคณะรัฐประหารเมียนมาทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
พรรคก้าวไกลยืนยันว่า การรัฐประหารโดยกองทัพไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหาทางการเมืองหรือวิธีการแก้ไขข้อบกพร่องในระบอบประชาธิปไตย กองทัพไม่มีสิทธิเหนือเสียงของประชาชนในการอ้างเหตุผลใดๆ เพื่อยึดอำนาจการปกครอง การรัฐประหารมีแต่จะทำให้ประเทศถอยหลังไม่แค่การเมือง แต่รวมถึงเศรษฐกิจ ดังที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่
พรรคก้าวไกลขอเรียกร้องให้เพื่อนพรรคการเมืองในภูมิภาคที่เคารพในอำนาจสูงสุดและสิทธิเสรีภาพของประชาชน ร่วมกันประณามคณะรัฐประหารในเมียนมา เพื่อให้กลับไปใช้กระบวนการของระบบรัฐสภาแก้ปัญหาทางการเมืองและฟื้นฟูประชาธิปไตยกลับมาโดยเร็วที่สุด
ล่าสุด ได้ออกมาโพสต์ข้อความโจมตีรัฐบาล เกี่ยวกับประเด็นของการเกิดรัฐประหารในเมียนมา โดยบอกว่า

ไม่แปลกใจ พล.อ.ประยุทธ์เข้าข้างทหารเมียนมา เพราะมาจากการยึดอำนาจเหมือนกัน
วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 Bencha Saengchantra – เบญจา แสงจันทร์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า ก่อนอื่น ขอแสดงออกเพื่อยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างประชาชนและนักต่อสู้เพื่อประชาธิไตยชาวเมียนมา ไม่มีเหตุผลใดมีความชอบธรรมเพียงพอในการใช้กำลังโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามครรลองประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม สำหรับรัฐบาลไทยนั้น การนิ่งเฉยต่อการรัฐประหารในเมียนมา และการใช้กำลังสลายการชุมนุมและจับกุมดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมต่อต้านการรัฐประหารหน้าสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาเมื่อวานนี้(1 กุมภาพันธ์ 2564) ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นเลือกปกป้องและยืนอยู่ข้างระบอบเผด็จการ และการรัฐประหารในเมียนมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะในปี 2557 พล.อ.ประยุทธ์ ก็เข้าสู่อำนาจโดยการใช้กำลังยึดอำนาจ ทำรัฐประหารในประเทศไทยเช่นกัน
สำหรับความคืบหน้าเหตุการณ์การชุมนุมหน้าสถานเอกอัคราราชทูตเมื่อวานว่าวันนี้ มี ส.ส. จากพรรคก้าวไกลเดินทางไปที่ศาลแขวงพระนครใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อรอใช้ตำแหน่ง ส.ส. ขอประกันตัวผู้ถูกดำเนินคดี โปรดติดตามความคืบหน้าต่อไป
ซึ่งก่อนหน้านี้ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า พยายามกดดันรัฐบาลไทยให้ทำการประณามการรัฐประหารในพม่า โดยได้โพต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ระบุว่า ตอนนี้รอดูว่ารัฐบาลไทยจะทำอย่างไรกับสถานการณ์รัฐประหารในเมียนมา
1. ออกแถลงการณ์ประณาม เรียกร้องให้ทหารคืนประชาธิปไตยให้ประชาชนเร็วที่สุด
2. ไม่มีแถลงประณาม โดยอ้างว่าไม่แทรกแซงกิจการภายในของเพื่อนบ้าน
การประณามรัฐประหารไม่ใช่การแทรกแซง แต่คือการยืนยันหลักการสากล เรื่องปชต.
ซึ่งทางด้าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ออกมาพูดถึงกรณีรัฐประหารเมียนมาสั้นๆว่า “อาเซียน จุดยืนอาเซียน”
โดยจากหลักการที่ให้อาเซียนและรัฐสมาชิกอาเซียนปฏิบัติตามหลัก
(จ)การไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน
(ฉ)การเคารพสิทธิของรัฐสมาชิกทุกรัฐในการธำรงประชาชาติของตนโดยปราศจากการแทรกแซง บ่อนทำลาย และการบังคับจากภายนอก
และประเด็นที่บอกว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าสู่อำนาจโดยการใช้กำลังยึดอำนาจทำรัฐประหาร เมื่อปี 2557 ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก เพราะถึงประเด็นดังกล่าว บางส่วนไม่เห็นด้วย เพราะข้อเท็จจริงคือ หลังจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กลับเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งในฐานะนายกฯ ในบัญชีพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้มาจากการรัฐประหารตามที่พรรคก้าวไกลกล่าวหา