“หมอวรงค์” ถือหญ้าเนเปียร์ นำลูกพรรคไทยภักดีสมัคร ส.ส.ชูพืชพลังงานปลดหนี้เกษตรกร

2300

จากที่วันนี้ (3 เมษายน 2566) พรรคไทยภักดี นำโดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี นายถาวร เสนเนียม ประธานพรรคไทยภักดี พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช เลขาธิการพรรคไทยภักดี

นายวสันต์ มีวงษ์ รองหัวหน้าพรรคไทยภักดี นายพันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์ รองหัวหน้าพรรคไทยภักดี นายทินกร ปลอดภัย ผู้อำนวยการพรรคไทยภักดี นายปฏิยุทธ ทองประจง กรรมการบริหารพรรคไทยภักดี และนายสุขสันต์ แสงศรี โฆษกพรรคไทยภักดี

พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. ทั้ง 33 เขต เดินทางไปยังศูนย์เยาวชน ไทย-ญี่ปุ่น (สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง) เพื่อเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.กทม. โดยนพ.วรงค์ ได้ถือกอหญ้าเนเปียร์ เพื่อสื่อสารถึงนโยบายพืชพลังงาน นำผู้สมัครเดินเข้าอาคารกีฬาเวสน์ 2 ก่อนการจับสลากหมายเลขผู้สมัคร

นพ.วรงค์ กล่าวว่า วันนี้มาให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 30 กว่าเขต ขอขอบคุณกำลังใจจากพี่น้องประชาชน ไทยภักดีเป็นพรรคที่ใช้หัวใจและใช้อุดมการณ์ในการต่อสู้ และเชื่อว่าพี่น้องอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศทุกมิติ ทั้งการปราบโกง ทั้งการปฏิวัติโครงสร้างพลังงานสะอาด นำไปสู่ค่าครองชีพราคาถูกและยึดดาวเทียมมาเป็นกิจการของรัฐ สุดท้ายร่วมกันปกป้องสถาบันเบื้องสูง

นพ.วรงค์กล่าวว่า พืชเนเปียร์กู้ชาติ จะนำไปสู่การปฏิวัติพลังงานครั้งใหญ่ของประเทศ นำไปสู่พลังงานสะอาด เป็นประเทศที่จะผลิตพลังงานสะอาดทั้งประเทศไปสู่ค่าไฟฟ้าราคาถูก ก๊าซหุงต้มราคาถูก ปุ๋ยราคาถูก การต่อสู้ของไทยภักดีในครั้งนี้ จึงมาด้วยความหวังเปลี่ยน ที่จะปฏิวัติและเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่การปลดหนี้ของเกษตรกร

สังคมไทยต้องการพลังงานสะอาด ต้องการสิ่งแวดล้อมที่ดี และนี่คือ พลังงานสะอาด มีส่วนในการลด PM 2.5 และไม่มีผลต่อสภาพแวดล้อม ขอพี่น้องมาร่วมมือกับพรรคไทยภักดีเปลี่ยนแปลงประเทศ

นพ.วรงค์ กล่าวว่า ได้ตั้งเป้าผลการเลือกตั้งของพรรคไว้ 25 ที่นั่ง ทั้งส.ส.เขต และ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ

ด้านนายถาวร กล่าวว่า พรรคมีนโยบาย 3 เรื่อง คือ 1.นโยบายปกป้องสถาบันหลักของชาติ ที่ถูกบั่นทอนและถูกแทรกแซงจากนักการเมือง ซึ่งจะเห็นได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศไทย แต่ผู้ที่สร้างความเดือดร้อนและความเสียหายให้กับประเทศคือนักการเมือง

2.นโยบายป้องกันการปราบปรามการทุจริต ซึ่งจะเห็นได้ว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นในประเทศไทย นำมาสู่ความเสียหายอย่างมหาศาล คือการทุจริต ที่มีทุกหย่อมหญ้า ซึ่งเราจะทำการแก้กฎหมายในเรื่องของ คดีทุจริตต้องไม่มีอายุความ

 

ยกเลิกแบงก์ 1,000 และสนับสนุนให้ใช้เงินผ่านมือถือ, แก้กฎหมายให้ผู้ถูกเรียกสินบนเป็นผู้เสียหาย และ 3.นโยบายปฏิวัติโครงสร้างประเทศ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาแก้ปัญหาความยากจน รวมทั้งระบบการศึกษาของประเทศไทย