สนามรบระหว่าง “รัสเซีย” กับ “NATO” ขยายพื้นที่เป็นวงกว้าง ชาติยุโรปหมดหนทางสู้

1708

ระทึกขึ้นเรื่อยๆ!? สนามรบระหว่าง “รัสเซีย” กับ “NATO” ขยายพื้นที่เป็นวงกว้าง ชาติยุโรปหมดหนทางสู้!?

กำลังเป็นที่น่าจับตาอย่างใกล้ชิด สำหรับสถานการณ์วิกฤตยูเครน-รัสเซีย ที่กำลังห้ำหั่นกันด้วยกองกำลังทางการทหาร รวมถึงการทูต

ล่าสุดทางด้านของเพจสาธารณะ World Update ได้รายงานถึงสถานการณ์ล่าสุดว่า “สนามรบระหว่างรัสเซีย กับ NATO เริ่มขยายวงไปยังมอลโดวา และทรานส์นิสเตรีย” โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ตามที่ฝ่าย NATO และสื่อตะวันตก ออกข่าวกันครึกโครม ว่าโปแลนด์จะส่งเครื่องบินขับไล่ MiG-29 ให้ยูเครน นั้น ต่อมาโปแลนด์ก็เบี้ยวไม่ยอมส่งของดีไปให้ ต่อมาสื่อตะกันตกประโคมข่าวว่าโปแลนด์ จะส่งรถถัง T-72M/M1 รุ่นเก่าจากสมัยสหภาพโซเวียติ ทางรถไฟ จำนวน 100 คัน ไปให้ยูเครน รบกับรัสเซีย

แต่ถึงตอนนี้รถถังดังกล่าวยังเป็น “รถถังทิพย์” คือไม่เคยได้ไปแตะแผ่นดินยูเครนเลยแม้แต่ล้อ เพราะโปแลนด์อ้างว่า “มีความจำเป็นต้องเก็บไว้ใช้เองก่อน” เพราะโปแลนด์โดนสหรัฐ หลอกให้สั่งซื้อรถถัง M1A2 Abrams จำนวน 250 คัน แต่อีกนานหลายปีกว่าจะส่งสินค้าให้ได้ครบ

เนื่องจากอุตสาหกรรมสงครามผลิตอาวุธสหรัฐนั้นเป็น “อาวุธทิพย์” โดย “ผลิตตามพรีออร์เดอร์” ไม่ได้มีของในสต็อคพร้อมส่งทันทีมากขนาดนั้น ตอนนี้โปแลนด์เองจึงเกิดอาการ “ปากกล้าขาสั่น” ส่งทหารรับจ้างมาเป็นหน่วย Azov NATO ในยูเครนราว 1,700 คน ส่วนใหญ่เป็นปุ๋ย และเผ่นหนีกลับไปเกือบหมดแล้ว

และส่งทหารจากกองบัญชาการกองยานเกราะที่ 16 ไปทางมลฑลคาลินินกราด ห่างจากชายแดนราว 60 กม. ไม่กล้าเคลื่อนพลเข้าใกล้ขีปนาวุธรัสเซียมากกว่านี้ โดยหน่วยข่าวกรองรัสเซียรายงานว่ากองทัพโปแลนด์เริ่มจัดตั้งกองกำลังผสมติดอาวุธในอาณาเขตของโรมาเนีย โดยมีแผนจะเข้าสู่ประเทศมอลโดวา มีข้ออ้างว่าปฏิบัติการด้านมนุษยธรรม

จากนั้น NATO จะยืมแผ่นดินมอลโดวา เป็นสนามรบบุกเข้าเพื่อเข้าควบคุมเขตทรานส์นิสเตรียอีกที แล้วบุกเข้าเมืองท่าโอเดสซายูเครน ชายทะเลดำ เหตุที่ NATO โปแลนด์ และโรมาเนีย ต้องการบุกเขตทรานส์นิสเตรีย เพราะที่นี่กว่า 60% เป็นชาวรัสเซีย ผสมชาวยูเครน พยายามแยกตัวจากประเทศมอลโดวามาตั้งแต่ก่อนการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เพราะไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของโรมาเนีย ในปี 1992

มอลโดวาทำสงครามกับ ทรานส์นิสเตรีย จากนั้นรัสเซีย ที่เพิ่งตั้งประเทศใหม่ขณะนั้น ก็ได้ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปประจำการไม่ให้รบกัน ประกอบด้วยทหารจาก 3 ฝ่าย คือ มอลโดวา ทรานส์นิสเตรีย และรัสเซีย มีประจำการ 1 กองพลน้อย ราว 1,500 นาย และมี 400 นาย คอยปกป้องคลังแสงสรรพาวุธในเมืองโคบาสน่า เขตทรานส์นิสเตรีย เป็นคลังอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีกระสุนชนิดต่างๆ อยู่ราว 22,000 ตัน

ภายใต้ข้อตกลงร่วมกับมอลโดวา โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถอนตัวออกไปข้อตกลงก็จะสิ้นสุดรัสเซียจะยึดทรานส์นิสเตรีย เป็นมลฑลนอกแผ่นดินใหญ่คล้ายคาลินินกราดทันที ในช่วงหลังสหรัฐ เข้ามายุยงส่งผลให้ผู้นำมอลโดวา ต้องการฉีกข้อตกลงให้รัสเซียถอนกองกำลังรักษาสันติภาพออกไป เพราะต้องการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU)

ส่วนทาง นายพลรัสตัม มินเนคาเยฟ รองผู้บัญชาการเขตทหารกลางของรัสเซีย ระบุว่า เป้าหมายของรัสเซีย คือ ยึดพื้นที่ตั้งแต่ภูมิภาคดอนบาส โดเนสตค์ ลูฮันส์ แล้วยาวไปเมืองท่ามาริอูปอล ไครเมีย เมลิโตปอล เคอร์ซอน ถึงเมืองท่าโอเดสซา ไปจรดทรานส์นิสเตรีย

ปัจจุบันรัสเซีย ควบคุมเมืองท่ารอบทะเลอาชอฟได้ 100% ไปแล้ว รวมทั้งช่องแคบเคียร์ช ไม่มีทางที่ชาติใดจะเข้าโจมตีรัสเซียทางทะเลอาชอฟได้เลย ดังนั้นเป้าต่อไปคือเมืองท่าโอเดสซา เพื่อรัสเซีย จะผงาดจังก้า ตั้งแต่ปากช่องแคบบอสฟอรัส ภายใต้การควบคุมของพันธมิตรตุรกี ที่สามารถควบคุมเรือทุกลำที่จะแล่นผ่านสองช่องแคบนี้เพื่อเข้าสู่ทะเลดำได้

ส่งผลให้รัสเซียจะสามารถเดินเรือออกทางทะเลน้ำอุ่นไปยังทะเลอื่นได้ จะเกิดความมั่นคงในระยะยาวตลอดไป ขัดขวางกองทัพอากาศคอนสตันตา ของสหรัฐฯ ชายฝั่งทะเลดำโรมาเนีย จุดนี้สหรัฐฯ และ NATO ได้ติดตั้งขีปนาวุธขนาดใหญ่ สำหรับข่มรัสเซีย

นายยูริ บูตูซอฟ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของยูเครน ได้ประกาศว่า ยูเครนมีแผนจะบุกโจมตี “ทรานส์นิสเตรีย” เพื่อจับทหารรัสเซียที่ประจำการในพื้นที่นั้น 1,500 นาย มาแลกตัวประกันกับทหารรับจ้าง Azov และบุคคลสำคัญ NATO ราว 2,000 คน ในเขตโรงงานเหล็กอาซอฟสตาล พร้อมยึดคลังอาวุธรัสเซีย 22,000 ตันมาใช้งาน เพราะคลังอาวุธกองทัพยูเครน ทางกองทัพรัสเซียทำลายและยึดไปใช้หมดแล้ว

ล่าสุดเกิดเหตุโจมตีอาคารกระทรวงความมั่นคงและสถานีส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ในทรานส์นิสเตรีย เป็นตัวเร่งปฏิกริยา ให้ทางกองทัพรัสเซีย ต้องหันมาถล่มเส้นทางรถไฟจากโรมาเนีย ที่ขนอาวุธและน้ำมันมาให้กองทัพยูเครนที่เมืองท่าโอเดสซา และถล่มคลังอาวุธเมืองนี้ให้ราบพนาสูญ ยาวไปจรดมอลโดว่า เพื่อปกป้องทรานส์นิสเตรียนับแต่นี้เป็นต้นไป