หลังจากสหรัฐและพันธมิตรทำการแซงก์ชั่นรัสเซียอย่างรุนแรงเพื่อตอบโต้ที่รุกรานยูเครน โดยปิดกั้นไม่ให้รัสเซียสามารถทำธุรกรรมด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เริ่มมีการพูดหนาหูว่า การแซงก์ชั่นโดยใช้ดอลลาร์มาเป็นเครื่องมือลงโทษ จะทำให้ประเทศต่าง ๆเมินเงินดอลลาร์และหันไปใช้เงินสกุลอื่นในการค้าขายหรือถือเงินสกุลอื่นไว้ในทุนสำรองระหว่างประเทศแทนดอลลาร์สหรัฐเพื่อกระจายความเสี่ยง
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ “เงินหยวน” ของจีนซึ่งเป็นมิตรใกล้ชิดรัสเซียถูกกล่าวถึงอีกครั้งในฐานะมีศักยภาพที่จะท้าทายดอลลาร์ เนื่องจากเป็นประเทศที่สหรัฐหมายหัวมาตั้งแต่สมัยอดีตปธน.ทรัมป์ จนถึงสมัยของปธน.ไบเดนคนปัจจุบันขณะที่จีนวันนี้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา
ปรากฎการณ์สั่นสะเทือนแวดวงการเงินโลก เรื่องที่สหรัฐอาจอ้าปากค้างคือล่าสุดธนาคารกลางอิสราเอลประกาศลดการถือเงินสำรองเป็นดอลลาร์สหรัฐลงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและเปิดถือครองเงินหยวนมากสูงสุดในรอบ 10 ปี
วันที่ 21 เม.ย.2565 สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์และไทม์ออฟอิสราเอลรายงานว่า ธนาคารกลางของอิสราเอลได้ทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในการจัดสรรเงินสำรองของตนในรอบกว่าทศวรรษ โดยเพิ่มเงินหยวนจีนควบคู่ไปกับสกุลเงินอื่นๆ อีก 3 สกุลในคลัง ซึ่งปีที่แล้วมีมูลค่าเกิน 2 แสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก การเพิ่มดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนแปลงใน “แนวทางและปรัชญาการลงทุนทั้งหมด”
ธนาคารกลางของอิสราเอล กำลังกระจายการถือครองทุนสำรองระหว่างประเทศและ การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของรัฐ โดยการเพิ่มเงินหยวนจีนมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ควบคู่ไปกับสกุลเงินอื่น ๆ อีกสามสกุลในขณะที่ลดส่วนแบ่งของดอลลาร์สหรัฐและยูโรน้อยลง
นอกเหนือจากค่าเงินหยวนแล้ว หน่วยงานกำกับดูแลกล่าวว่าจะเพิ่มเงินดอลลาร์แคนาดาและออสเตรเลียด้วย เนื่องจากอิสราเอลกำลังพยายามกระจายการจัดสรรทุนสำรองและ“ขยายขอบเขตการลงทุนให้ยาวขึ้น”
แอนดรูว์ อาบีร์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งอิสราเอล(Deputy Governor of the Bank of Israel, Andrew Abir) กล่าวว่า “เราจำเป็นต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการได้รับเงินคืนจากทุนสำรองที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายของหนี้สิน”
ก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งอิสราเอลถือครองเพียงดอลลาร์สหรัฐ ยูโร และปอนด์อังกฤษเท่านั้น ปีที่แล้ว ทุนสำรองอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศพุ่งเกิน 2 แสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก คิดเป็น 1 ใน 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของอิสราเอล การสับเปลี่ยนหมายความว่าส่วนแบ่งของยูโรจะลดลงจาก 30% เป็น 20% และเงินดอลลาร์จะคิดเป็น 61% ลดลงจาก 66.5% ส่วนเงินหยวนจะคิดเป็น 2% ของการถือครอง ในขณะที่สกุลเงินของแคนาดาและออสเตรเลียจะมีค่าเงินแต่ละสกุล 3.5% ส่วนแบ่งของเงินปอนด์อังกฤษจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเป็น 5% โดยกลับสู่ระดับเดียวกับในปี 2554 แม้ว่าจำนวนถือครองยังน้อยกว่าของฝั่งตะวันตก แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ได้ประเมินส่วนแบ่งของเงินหยวนในการทำธุรกรรมสกุลเงินทั่วโลก ว่าความนิยมในเงินจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้
ผลสำรวจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในสกุลเงินหยวนของจีนมีมูลค่า 336.1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่สี่ของปี 2564 คิดเป็น 2.79% ของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่จัดสรรทั้งหมด
ตามองค์ประกอบสกุลเงินของข้อมูลสำรองแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างเป็นทางการหรือที่เรียกย่อๆว่าโคเฟอร์ (COFER) ส่วนแบ่งของสกุลเงินจีนเพิ่มขึ้นจาก 2.66% ในไตรมาสที่สาม ภายในสิ้นปี 2564 เงินหยวนอยู่ในอันดับที่ 5 ใน COFER ต่อจากดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เยนญี่ปุ่น และปอนด์สเตอร์ลิง
ผู้เชี่ยวชาญของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มองว่าการเติบโตของเงินหยวนนั้นเป็นผลมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและการทำให้เงินหยวนเป็นสากล พวกเขากล่าวว่าการเติบโตของเงินหยวนจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ ท่ามกลางการคว่ำบาตรระหว่างรัสเซียและตะวันตก และความวุ่นวายทางการเงินทั่วโลก
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าเงินสำรองสกุลเงินของธนาคารกลางมากกว่าครึ่งหนึ่งยังคงเป็นดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นในดอลลาร์สหรัฐจะค่อยๆ ลดลง อย่างไรก็ตามในปี 2550 เงินสำรองของธนาคารกลางประมาณ 70% ทั้งหมดอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่มีจำนวนลดลงเหลือ 58.8% ในไตรมาสที่สี่ของปีที่แล้ว ในขณะเดียวกันขนาดของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในสกุลเงินหยวนก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2564 การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในสกุลเงินหยวนเป็นทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมีมูลค่ามากกว่า 336,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 320,100 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่สามของปีที่แล้ว
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนและขนาดของหยวนเป็นแนวโน้มที่ไม่อาจย้อนกลับได้ เนื่องจากอิทธิพลของค่าเงินเติบโตควบคู่ไปกับการเพิ่มขึ้นของอำนาจทางเศรษฐกิจของจีน
ตามรายงานของโกลด์แมนแซ็ค กรุ๊ป อิงค์ (Goldman Sachs Group Inc.) ในรายงานเดือนมี.ค. กลุ่มประเทศในละตินอเมริกาลงทุนเกือบ 30,000 ล้านดอลลาร์ในสินทรัพย์หยวนในช่วงห้าปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ของธนาคารวอลล์สตรีทกล่าวว่าอิสราเอลยังได้ “ทำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญบางประการ” และเพิ่มเงินสำรองมากขึ้นเป็นเงินหยวนมากกว่า 1 พันล้านหยวนในเดือนกุมภาพันธ์เพียงเดือนเดียว
การที่พันธมิตรสำคัญของสหรัฐอย่างอิสราเอล หันมาตุนเงินหยวนมากกว่าดอลลาร์สหรัฐมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งสัญญาณยืนยันถึงความเปลี่ยนแปลงอำนาจเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างชัดเจน ว่าแนวโน้มชัยชนะเหนือการแข่งขันสงครามเศรษฐกิจ ใครจะเป็นฝ่ายมีชัย แต่นี่การต่อสู้ของสงครามเงินตราเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น!?