โลกระอุ!!รัสเซียเผยขายน้ำมันถูกๆให้ปท.เป็นมิตร แต่ประกาศติดอาวุธนิวเคลียร์หากนาโตรับสวีเดน-ฟินแลนด์เพิ่ม

958

วันที่ 14 เม.ย.2565 สำนักข่าวอินเตอร์แฟ็กซ์และรัสเซียทูเดย์รายงานว่า นิโคไล ชุลกินอฟ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของรัสเซียเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอิสเวสเทีย( Izvestia)  รัสเซียพร้อมขายน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันแก่ “ประเทศที่เป็นมิตร” โดย “ไม่เกี่ยงราคา”  ขณะที่สหภาพยุโรปกำลังมุ่งหน้าสู่การแบนน้ำมันรัสเซียอย่างค่อยเป็นค่อยไป และพยายามดิันรนบรรเทาผลกระทบแก่เยอรมนี ซึ่งพึ่งพิงพลังงานจากมอสโกเป็นอย่างมาก

ชุลกินอฟเผยว่ามีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันดิบอาจแตะ 80-150 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลในทางทฤษฎี แต่รัสเซียให้ความสำคัญมากกว่ากับการสร้างความมั่นใจว่าธุรกิจน้ำมันของรัสเซียจะยังเดินหน้าต่อไปได้

ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานน้ำมันโลกพุ่งไปที่เกือบ 140 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเมื่อเดือนที่แล้ว ก่อนจะลดลงมาเหลือ 100 ดอลลาร์เมื่อวันพุธที่ 13เม.ย.แต่ดีดตัวขึ้นเหนือ 110 ดอลลาร์อีกครั้งในวันพฤหัสบดีที่14เมย.ที่ผ่านมา

ชุลกินอฟ ไม่ได้ระบุชื่อ “ประเทศที่เป็นมิตร” ที่เขาเอ่ยถึง แต่อินเดียและจีนเป็นสองประเทศที่กำลังซื้อน้ำมันราคาถูกจากรัสเซีย โดยทั้งสองประเทศไม่เคยออกมาประณามต่อกรณีรัสเซียปฏิบัติการทางทหารในยูเครน

อินเดียซึ่งเป็นชาติผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก ซื้อน้ำมันจากรัสเซียราว 12 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็น 2% ของปริมาณน้ำมันนำเข้าทั้งหมด ส่วนจีน โรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ได้ลงนามในสัญญาใหม่สั่งซื้อน้ำจากรัสเซีย และบรรดาโรงกลั่นเอกชนที่มีขนาดเล็กกว่า ยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง

แม้เผชิญมาตรการคว่ำบาตรและการบอยคอตต์ต่างๆนานา แต่ รัสเซีย ชาติมหาอำนาจทางพลังงาน ยังคงโกยรายได้จากการส่งออกพลังงานในปี 2022 เกือบ 321 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่ารายได้ของปี 2021 ถึง 36% จากการคาดการณ์ของบลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์ ในเดือนเมษายน 2565

สหภาพยุโรป(อียู) ชาติผู้บริโภครายใหญ่พลังงานรัสเซีย เห็นชอบแบนนำเข้าถ่านหินจากรัสเซียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมเผยว่ากำลังพิจารณาห้ามเข้าน้ำมันของมอสโกว์ด้วย อย่างไรก็ตามอียูไม่ตัดขาดก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากยุโรปยังคงต้องพึ่งพิงอุปทานก๊าซจากรัสเซียเป็นอย่างมาก และยังหาจากแหล่งอื่นไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้

เวลานี้ อียู กำลังร่างข้อเสนอสำหรับห้ามนำเข้าน้ำมันรัสเซีย แม้ยังคงมีความเห็นต่างในการแบนน้ำมันดิบของรัสเซีย โดยบรรดาผู้แทนทูตของอียูเปิดเผยว่า เยอรมนี ซึ่งต้องพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียเป็นอย่างมาก ไม่กระตือรือร้นสนับสนุนมาตรการดังกล่าวเท่าที่ควร

แอนดี ลิโพว์ นักวิเคราะห์จากลิโพว์ ออย แอสโซซิเอตส์ ในฮิวสตัน ระบุว่า “การแบนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนจะบีบให้ผู้ซื้อยุโรปแสวงหาแหล่งพลังงานอื่น ซึ่งบางส่วน ในระยะสั้นนี้อาจได้จากคลังปิโตรเลียมสำรองที่ปล่อยออกมา แต่ในอนาคต จำเป็นต้องควานหาอุปทานเพิ่มเติม”

เรื่องการแบนพลังงานที่สหภาพยุโรปเร่งมืออยู่ สำหรับรัสเซียแม้จะมีผลกระทบแต่ก็สามารถหันเหทิศทางของลูกค้าสู่ทางตะวันออกมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้เตรียมเดินหน้าภาระกิจสำหรับอนาคตได้อย่างมั่นคง  ล่าสุด ปธน.ปูตินยังได้กำหนดภารกิจหลักสามประการสำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซของประเทศในอนาคตอันใกล้นี้ 

ปูตินกล่าวว่า ประการแรก มันเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าการจัดหาแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนให้กับตลาดภายในประเทศ และเพิ่มอุปทานสำหรับผู้บริโภคชาวรัสเซีย 

ประการที่สอง การส่งออกควรมีความหลากหลายและปรับให้เข้ากับตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วในภาคใต้และภาคตะวันออก 

ประการที่สาม เขาสั่งให้มีการพัฒนาการแปรรูปน้ำมันและก๊าซในระดับลึก ซึ่งได้มีการประชุมเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำมันอาร์กติก

ในด้านของอุตสาหกรรมพลังงานของรัสเซียจะไม่ได้รับความเสียหายตามที่สหรัฐและตะวันตกหวังไว้ นั่นหมายถึงการคว่ำบาตรพลังงานต่อรัสเซียนั้นล้มเหลวนั่นเอง

 

อีกด้านที่ดุเดือดแบบไม่ไว้หน้าสำหรับกลุ่มประเทศที่ไม่เป็นมิตร หรือกระทั่งแสดงท่าทีเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย เช่นเหล่าสมาชิกนาโต้ที่มีสหรัฐเป็นแกนนำนั้น ล่าสุดฟินแลนด์และสวีเดน ได้เปิดเผยท่าทีต้องการเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ และนาโต้ก็แสดงการตอบรับอย่างกระตือรือร้น รัสเซียจึงตัดสินใจเด็ดขาด เมื่อฝ่ายศัตรูเตรียมการอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้จึงไม่รอช้า

ประกาศกร้าวจะประจำการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงทันทีหากนาโต้รับสวีเดนและฟินแลนด์เข้าร่วม 

ดมิตรี เมดเวเดฟ รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติของรัสเซียระบุในวันเดียวกันว่า หากสวีเดนและฟินแลนด์เข้าร่วมเป็นสมาชิกเนโต รัสเซียจำเป็นต้องเสริมกำลังทางบก ทางเรือ และทางอากาศในทะเลบอลติก และจะไม่มีการหารือเกี่ยวกับประเด็นการทำให้บอลติกเป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์อีกต่อไป ซึ่งหมายถึงสวีเดนและฟินแลนด์จะต้องอาศัยอยู่กับการที่มีอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงอยู่ใกล้ประเทศ ทั้งนี้ สวีเดนและฟินแลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นกลางกำลังพิจารณาเข้าร่วมเป็นสมาชิกเนโต โดยมีเงื่อนไขว่าฟินแลนด์ต้องมีสถานะที่เป็นกลาง ฟินแลนด์ได้รับเอกราชจากรัสเซียเมื่อปี 2460 ขณะที่สวีเดนเป็นประเทศที่ยึดมั่นต่อสถานะเป็นกลางและไม่เคยทำสงครามมาเลยเป็นเวลากว่า 200 ปี นี่อาจเป็นอิทธิพลของโรคเกลียดกลัวรัสเซียที่แพร่สะพัดไปทั่วยุโรปก็เป็นได้

เอาเป็นว่ารัสเซียได้ประกาศท่าทีต่อประเทศที่เป็นมิตรและไม่เป็นมิตรอย่างชัดเจนทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและการทหาร สถานการณ์เช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าโลกแบ่งขั้วค่อนข้างชัดเจน ด้วยบรรยากาศแห่งการแตกแยกขยายวงและหนักหน่วงขึ้น เช่นนี้คงยากที่จะหวังสันติภาพอย่างแท้จริงในระยะเวลาอันใกล้!!