สื่อตะวันตกแฉเอง! ยูเครน จำนนด้วยหลักฐาน จัดฉากก่ออาชญากรรมหมู่พลเรือนของตัวเอง!
จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (13 เมษายน 2565) ทางเพจ World Update ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่การเกิดอาชญากรรมในสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยอ้างอิงจากสำนักข่าวรอยเตอร์และสถานทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ระบุว่า
สถานการณ์รัฐบาลยูเครน เริ่มถูกไล่ต้อนเข้ามุมอับเสียแล้ว เมื่อบรรดาผู้นำของสหภาพยุโรป (EU) ขาใหญ่ เช่น เยอรมัน และอีกหลายชาติ ขอให้นายเซเลนกี้ ประธานาธิบดียูเครน หาหลักฐานที่ชัดเจนตามหลักสากลพิสูจน์ว่าการก่ออาชญากรรมหมู่ชาวบ้านที่เมืองบูชา ชานกรุงเคียฟ ไม่ได้ถูกรัฐบาลยูเครนจัดฉากขึ้นเอง หลักฐานที่ว่า เช่น กล้องวงจรปิดของสภาเทศบาลเมือง และของบรรดาบริษัท ห้างร้าน หรือตามบ้านเรือนที่มีมากมายเพราะเมืองนี้มีประชากรราว 35,000 คน พร้อมจากพยานปากคำชาวบ้าน , ชนิดของอาวุธ ฯลฯ
ซึ่งถ้าเปิดหลักฐานพวกนี้ออกมา ผู้นำยูเครน และรัฐบาลลงเหวแน่ เนื่องจากชาติตะวันตกในยุโรปขาใหญ่เอง เขาก็มีหน่วยข่าวกรองทำงานอยู่ในยูเครนเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ผู้นำยุโรป รู้ความจริงตั้งแต่วันแรกที่ทางการยูเครน เผยแค่ภาพถ่ายผู้เสียชีวิต แต่ไม่ยอมแสดงภาพ “กล้องวงจรปิด” ในวันที่ 2 เม.ย.65 ทั่วทั้งเมืองบูชา เหตุการณ์นี้ ข้อเท็จจริงเริ่มจากตอนที่ทหารรัสเซีย มาที่เมืองนี้ เพื่อปิดล้อมกรุงเคียฟ ไม่ให้ส่งกำลังไปช่วยทางตะวันออกและทางไต้ของยูเครน
เมื่อกองทัพรัสเซียมาถึงเมืองบูชาได้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชนในเมือง ชาวบ้านสามารถใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพได้ตามปกติ “มีการแลกเปลี่ยนอาหารการกินกัน ทหารรัสเซียแบ่งอาหารแห้ง แป้ง เกลือ น้ำตาล และเนื้อ กล่องสีเขียว ส่วนชาวเมืองบูชาให้ไข่ นม ชีส” ฝ่ายทหารรัสเซียขอให้ชาวเมืองโดยเฉพาะผู้ชายมัดผ้าสีขาวที่แขนเสื้อคล้ายทหารรัสเซียทุกคน แสดงถึงมิตรภาพและไม่ได้เป็นนักรบ จะได้ไม่เข้าใจผิดกัน
เหตุแค่นี้เองที่ทางรัฐบาลยูเครนมองว่าชาวเมืองบูชา “ทรยศชาติ และให้ความร่วมมือกองทัพรัสเซีย” ต่อมากองทัพรัสเซียใช้พื้นที่เมืองบูชา ยิงใส่ที่มั่นทางทหารในกรุงเคียฟ รวมถึงการสอดแนมคลังอาวุธ มาซ่อนไว้ในห้างสรรพสินค้าช็อปปิ้งมอลร้าง Retrovilli ที่นี่ยังเป็นฐานทัพทหาร ศูนย์บัญชาการ คลังอาวุธ คลังเสบียงทหาร ใจกลางกรุงเคียฟอีกด้วย
กองทัพรัสเซีย จึงใช้ยิงขีปนาวุธ Iskander M ถล่มศูนย์บัญชาการในห้างแห่งนี้ ส่งผลให้เกิดระเบิดรอบสอง เพราะอาวุธของยูเครน กลายเป็น “ระเบิดตัวเองขนาดมหึมา” ถล่มห้างแห่งนี้และบริเวณโดยรอบ สร้างความเจ็บแค้นให้รัฐบาลยูเครนรอวันเอาคืนชาวเมืองบูชา จนวันที่ 30 มี.ค.65 กองทัพรัสเซีย เสร็จสิ้นภาระกิจ และถอนตัวออกไป ตามผลการเจรจา 2 ฝ่ายครั้งที่ 5 ที่ตุรกี ถัดมาวันที่ 2 เม.ย.65 สำนักงานตำรวจของยูเครนได้เผยแพร่ประกาศที่ระบุว่าตำรวจหน่วยคอมมานโดกำลังมุ่งหน้าไปเมืองบูชา “เพื่อกำจัดผู้ที่ทำงานร่วมกับรัสเซีย ถ้าคุณร่วมมือกับรัสเซีย คุณจะต้องตาย”
ทางผู้บริหารรัฐบาลยูเครน ได้ออกประกาศบนโซเชียล แจ้งชาวเมืองบูชาว่า “โปรดอยู่ในบ้าน ตำรวจกำลังทำความสะอาด อย่าตกใจ ให้อยู่ในบ้านเท่านั้น” จากนั้นกลุ่มหัวรุนแรงที่เป็นกลุ่มย่อยส่วนหนึ่งของกองพัน NATO ควบคุมโดยนาย Sergey Korotkih ผู้บัญชาการทหารระดับสูงของยูเครน นักรบฉายาว่า “Botsman” ได้โพสคลิปหลักฐานสำคัญคือ ได้ร่วมมือกับตำรวจหน่วย Safari ตระเวณไปตามบ้านเรือนประชาชน เคาะประตูบ้าน และบุกตรวจค้นหลังเป้าหมาย จับชาวบ้านชายหญิงที่ผูกผ้าที่แขนสีขาวทุกราย แล้วกระทำการ “ประหารชีวิตข้างถนน” โดยระบุว่าเป็นการ “ลงโทษผู้สมรู้ร่วมคิดกับรัสเซีย” ตามที่ผู้นำยูเครนสั่งการ
ลักษณะของผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จึงสวม “ปลอกแขนสีขาว” ข้างๆ ร่างแต่ละรายคือ “กล่องสีเขียวอาหารแห้งรัสเซีย ที่ยังคงถืออยู่ตอนที่เสียชีวิต” รายที่ไม่มีผ้าพันแขนสีขาว เพราะถูกนำมาใช้มัดมือไขว้ไว้ด้านหลัง ก่อนจะถูกทางการยูเครนลงโทษประหารชีวิตข้างถนน ทุกรายเพิ่งถูกกระทำในวันที่ 2 เม.ย.65 ภายหลังทหารรัสเซีย ถอนกำลังออกไปแล้ว 3 วัน
จากนั้นมี “นักข่าวชาวเม็กซิกัน” ได้เข้าไปในเมืองบูชา และเห็นเหตุการณ์ว่าตอนบรรดากู้ภัยยกร่างผู้ถูกประหารราว 400 ราย พบว่าเลือดยังไหลสดไม่แข็งตัว ต่อมาเมื่อสื่อนี้รายงาน ผู้นำยูเครนจึงโกรธและสั่งเรียกตัวทูตกลับประเทศทันที ส่วนอีกกรณีที่กองทัพยูเครนยิงจรวด Tochka-U จำนวน 2 ลูก ใส่ประชาชนหลายพันคนที่รอ อพยพที่สถานีรถไฟครามาทอร์สก์ สาธารณรัฐโดเนตสก์ ภูมิภาคดอนบาส เสียชีวิต 52 ราย
โดยมีหลักฐาน Serial Number ด้านข้างของซากจรวดขึ้นต้นด้วย “Ш915..” เป็นรหัสอาวุธของกองพลน้อยขีปนาวุธที่ 13 กองทัพยูเครนนั้น ด้วยมี “นักข่าวชาวอิตาลี” มาถ่ายภาพซากจรวดและเลข Serial Number ความเลยแตก ตอนนี้สื่อใหญ่อังกฤษ และสื่อตะวันตกเริ่มลงข่าวแฉทางการยูเครนกันใหญ่ ความลับเลยปิดไม่มิดเสียแล้ว..สรุป ก่ออาชญากรรมหมู่ประชาชนชาวยูเครน เป็นฝีมือรัฐบาลยูเครนเองทั้ง 2 เหตุการณ์ และยังมีเหตุประหารชีวิตพลเมืองตนเองคล้ายนี้ทะยอยตามมาอีกหลายเมืองเรื่อยๆ..เพียงเพราะพวกเขาแลกเปลี่ยนอาหารกับทหารรัสเซียแค่นั้นเอง