Truthforyou

แฉแผนลวงโลก! จัดฉากอาชญากรรม โยนบาปรัสเซีย! คนในพื้นที่ยันเอง กองทัพรัสเซียถอนกำลังไปนานแล้ว!

แฉแผนลวงโลก! จัดฉากอาชญากรรม โยนบาปรัสเซีย! คนในพื้นที่ยันเอง กองทัพรัสเซียถอนกำลังไปนานแล้ว!

จากกรณีที่วันนี้ (6 เมษายน 2565) เพจ World Update ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีสถานการณ์ในยูเครน ที่สื่อยูเครนรายงานว่า มีประชาชนจำนวนมากเสียชีวิตในเมืองบูชายูเครน จากการถูกทำร้ายร่างกาย โดยอ้างอิงแหล่งข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์และสถานทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ระบุว่า

จากกรณี สื่อทางการยูเครน และสื่อตะวันตก พากันประโคมข่าวกรณีพบชาวบ้านเสียชีวิตจำนวนมาก จากการถูกทำร้ายร่างกาย ในเมืองบูชา ยูเครน และโยนบาปอ้างว่าเป็นการกระทำของทหารรัสเซียดื้อๆ นั้น พบข้อเท็จจริง หลักฐาน ประจักษ์ พยาน การจัดฉากต้มตุ๋นสรุปรายละเอียดดังนี้
1. เมืองบูชาเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรประมาณ 35,000 คน โดยอยู่ห่างจากเมืองหลวงเคียฟ ของยูเครนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 10 กม. กองทัพรัสเซียเข้าควบคุมเมืองนี้ ชาวบ้านในเมืองบูชาก็เดินทางอย่างอิสระไปทั่วเมือง และสามารถใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพได้ ชาวเมืองให้ความร่วมมืออย่างดีไม่มีการต่อต้าน ทางการรัสเซียนำสิ่งของบรรเทาทุกข์มามอบให้และขอให้พลเรือนทุกคน “ผูกผ้าขาวที่แขน และขา” เป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงว่าตนเองไม่ใช่นักรบ
2. วันที่ 27 มี.ค.65 ฝ่ายยูเครน เผยแพร่คลิปการทรมานเชลยศึก โดยมีหน่วยทหารของNATO ยิงไปที่ขาทหารรัสเซีย
3. วันที่ 29 มี.ค.65 มีการเจรจาสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่นครอิสตันบูล ตุรกี โดยกองทัพรัสเซียประกาศจะลดระดับการสู้รบใกล้กับกรุงเคียฟ เพื่อให้โอกาสรัฐบาลยูเครน ในระหว่างการเจรจา ทางรัสเซียขอให้มีการสอบสวนเหตุการณ์ในคลิปการทรมานเชลยศึก ฝ่ายยูเครนให้คำมั่นว่าจะไปสอบสวน แต่ต่อมาไม่มีการดำเนินการใดๆ
ในวันนั้นหน่วยข่าวกรองทหารรัสเซีย ได้รายงานว่ารัฐบาลยูเครนสั่งให้กองพันของNATO ผลิตคลิปจัดฉากที่แสดงการก่ออาชญากรรมโดยทหารรัสเซียต่อพลเรือน “การสังหารหมู่ การโจรกรรม ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน” เพื่อป้ายสีโยนบาปฝ่ายให้รัสเซีย
4. วันที่ 30 มี.ค.65 จากผลการเจรจาที่ตุรกี ทางกองทัพรัสเซีย ได้รับคำสั่งให้สิ้นสุดปฏิบัติการควบคุมความสงบ และทำลายอาวุธหนักกองทัพยูเครนหมดสิ้นแล้วในเมืองบูชา จึงเคลื่อนพลออกไป
5. วันที่ 31 มี.ค.65 นายอนาโตลี ฟีโดรุก นายกเทศมนตรีเมืองบูชา ถ่ายคลิปรายงานเผยแพร่ออกทางทีวียูเครน ช่อง 24 ยืนยันว่ากองทัพรัสเซีย ได้ถอนกำลังเคลื่อนย้ายออกจากเมืองไปแล้ว มีอาคารบางส่วนเสียหาย แต่ชาวบ้านปลอดภัยดี ไม่มีอาชญากรรมสงครามโดยรัสเซีย สภาเทศบาลเมืองบูชา ยูเครน เผยแพร่ภาพ ถนนทุกสายในเมืองทุกมุม ไม่มีร่างผู้เสียชีวิตแม้แต่รายเดียว
6. วันที่ 1 เม.ย.65 นายเซเลนสกี้ ประธานาธิบดียูเครน ได้ออกคลิปทางทีวียูเครน เตือนว่า “ชาวยูเครนที่ให้ความร่วมมือกับกองทัพรัสเซีย จะต้องได้รับโทษและผลที่ตามมาอย่างสาสม” เขาระบุว่าได้ “ปลด 2 นายพลระดับสูงของของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ โดยว่าเป็นคนทรยศ และขัดคำสั่ง”
ในวันนี้เขายังให้สัมภาษณ์กับ ผู้ประกาศข่าว Bret Baier ของ Fox News ที่สอบถามเขาเกี่ยวกับความเกี่ยวโยง กองกำลัง NATO เรื่องความโหดร้ายที่กระทำกับชาวยูเครน ผู้นำยูเครนตอบว่า “หน่วยรบยูเครน พวกเขาเป็นอย่างที่เป็นอยู่” ยอมรับว่า “กองพัน ได้รวมเข้ากับกองทัพแห่งชาติยูเครนแล้ว”
ในวันเดียวกันนี้ หน่วยข่าวกรองต่างประเทศของรัสเซีย (SVR) ได้สอดแนมการสื่อสารระหว่างรัฐบาลยูเครนและอังกฤษ เกี่ยวกับประเด็นการเผยแพร่คลิปการทรมานทหารรัสเซีย รัฐบาลอังกฤษ “ตระหนักถึงการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศโดยยูเครน แต่ยินดีจะช่วยเหลือผู้กระทำความผิดนั้น”
7. วันที่ 2 เม.ย.65 ตำรวจแห่งชาติยูเครน ส่งหน่วยคอมมานโด Safari ไปยังเมืองบูชา Bucha และระบุว่าว่าเพื่อ “เคลียร์พื้นที่และจัดการผู้ทรยศทำงานร่วมกับรัสเซีย ชำระล้างเมืองให้สะอาดจากพวกรัสเซีย” รวมถึง “ตรวจสอบสถานที่ก่ออาชญากรรมสงครามที่รัสเซียก่อขึ้น” โดยในคลิปหลายนาที ที่หน่วยคอมมานโด Safari เคลื่อนกำลังไปตามท้องถนนทุกแห่ง หรือรถยนต์ที่จอดบนถนน ไม่พบว่ามีร่างผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บเลยแม้แต่รายเดียว และได้รายงานว่าไม่พบผู้เสียชีวิต
วันเดียวกัน Sergey Korotkih ผู้บัญชาการทหารระดับสูงของยูเครน เขาเคยเป็นพลเมืองของเบลารุส เขาเป็นพวกหัวรุนแรงเปิดเผยตัว เดินทางไปยูเครนในปี 2014 เพื่อร่วมกับกองพัน ต่อมาเขาได้รับสัญชาติยูเครน เขามีคดีที่รัสเซียตั้งข้อหาฆาตกรรมหลายครั้ง ทำงานร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรง ที่เป็นกลุ่มย่อยส่วนหนึ่งของกองพัน ของ NATO โดยทหารคนหนึ่งฉายาว่า “Botsman” ได้โพสคลิปหลักฐานสำคัญคือได้ตระเวณไปตามบ้านเรือนประชาชน และบุกตรวจค้นทุกหลังในเมืองบูชา
แล้วจับชาวบ้านชายหญิงที่ “ผูกผ้าที่แขนสีขาวทุกราย” มานั่งเรียงคุกเข่าหันหลังสอบสวน จากนั้นตั้งข้อหาว่าเป็นผู้ทรยศชาติ แล้วกระทำการ “ประหารชีวิตข้างถนน” โดยระบุว่าเป็นการ “ลงโทษผู้สมรู้ร่วมคิดกับรัสเซีย” ตามที่ผู้นำยูเครนสั่ง ทหารยูเครน ที่ร่วมอยู่ในทีม ได้ถามว่า “ตรงนั้นมีชาวบ้านที่ไม่ได้สวมปลอกแขนสีฟ้า ประหารมันเลยได้หรือไม่? ” ผู้ร่วมทีมตอบมาว่า “เอาเลยๆ” จากนั้นก็มีการยิงปืนใส่ไปที่ชาวบ้าน
8. วันที่ 3 เม.ย.65 การเผยแพร่ภาพในเมืองบูชาเริ่มหลั่งไหลออกมา ตามถนนเส้นเดิมที่หน่วยคอมมานโด Safari ยูเครนเคลียร์พื้นที่แล้วที่เคยว่างเปล่า กลับเกลื่อนไปด้วยร่างพลเรือนส่วนใหญ่ผูกผ้าขาวไว้ สภาพเลือดที่สดใหม่เพียงวันเดียวไม่แห้งกรังหลายวัน ทุกรายร่างกายยังอ่อนไม่แข็งตัว แม้ในรายที่ถูกฝัง มีหลายรายถูกเผา ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ฝ่ายยูเครน รีบอ้างฝ่ายเดียวว่าเป็นการกระทำของทหารรัสเซียฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก่อนจะถอนทหารออกจากเมือง ต่อมา นาย Dmitry Kuleba รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน อ้างว่า สำนักงานอัยการสูงสุด รายงานพบศพพลเรือน 410 ศพ และสื่อตะวันตกได้รับภาพต่างๆ อย่างรวดเร็ว และประณามรัสเซีย ตามที่ทางการยูเครนจัดฉากขึ้น
9. วันที่ 4 เม.ย.65 นายเซเลนซกี้ ผู้นำยูเครน ลอบเดินทางมาจากโปแลนด์ ถึงเมืองบูชา เดินไปเดินมาถ่ายภาพห้อมล้อมด้วยบรรดา CIA และหน่วยรักษาความปลอดภัย มาตรวจผลงานว่าลูกน้องทำตามคำสั่งเขาผลิตคลิปจัดฉากที่แสดงการก่ออาชญากรรมโดยทหารรัสเซียต่อพลเรือนเรียบร้อยตามสคริปหรือไม่ จากนั้นก็รีบออกไป โดยในขณะเขาเดินไปไม่มีชาวเมืองบูชามาทักทายต้อนรับผู้นำประเทศเลยสักคนเดียว
หญิงสาวชาวยูเครนรายหนึ่ง ที่รอดชีวิต เธอหนีข้ามชายแดนไปที่ประเทศเบลารุส ให้สัมภาษณ์กับสื่อทีวีท้องถิ่นว่า ” พวกหน่วยทหารยูเครนสังหารชาวบ้านทุกคน”
10. กลาโหมสหรัฐ ระบุว่ากองทัพสหรัฐ “ไม่สามารถจะยืนยัน” รายงานความโหดร้ายที่มีต่อพลเรือนในเมืองบูชา ว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย และ รอยเตอร์ ลงพื้นที่เมืองบูชา แล้วรายงานว่า”ยังไม่สามารถหาหลักฐานยืนยันได้ว่า ใครคือคนที่ลงมือสังหารชาวเมืองเหล่านี้”
ล่าสุด พล.ท. โรเจอร์ แอล. โคลเทียร์ จูเนียร์ ผู้บัญชาการรบภาคพื้นแอฟริกาของสหรัฐ , ผู้บัญชาการกองบัญชาการฝ่ายสัมพันธมิตรของ NATO และรักษาการรองผู้ว่าการกองกำลังภาคพื้นดินของยูเครน ถูกหน่วยรบพิเศษรัสเซียจับตัวได้ ในขณะที่บัญชากองพัน NATO รบที่เมือง ท่ามาริอูโปล ฝั่งทะเลอาชอฟ กลาโหมสหรัฐ พยายามติดต่อทางการรัสเซีย 2 ครั้งขอปล่อยตัวแลกเชลยศึก แต่รัสเซียไม่คุยด้วย
11. ทางการรัสเซียได้ขอให้ UN มีการประชุมด่วนในเรื่องนี้ แต่ถูกอังกฤษประธานคณะมนตรีความมั่นคง UN ปฏิเสธ (ปี 2022 เป็นคิวอังกฤษ) เพราะ ต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้รัสเซียหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา เพราะกลัวจะเสียหน้า และความลับแตกเรื่องทางการยูเครนก่ออาชญากรรมสังหารหมู่ชาวยูเครนด้วยกันเอง
ตั้งแต่เขาปล่อยนักโทษในคุกออกมา แจกปืน ปล้นสดมป์ ฆ่า ข่มขืน ประชาชน กองพัน NATO กักตัวชาวยูเครนไม่ให้ออกจากเมืองเพื่อใช้เป็นโล่มนุษย์ นำชาวบ้านไปขังในโรงละครที่เมืองท่ามารีอูโปลแล้ววางระเบิดสังหารหมู่ทั้งหมดโดยมีสื่อมวลชน และชาวบ้านรอดชีวิตจากเหตุการณ์ให้ปากคำเป็นพยาน จนถึงตัดสิน “ประหารชีวิตข้างถนน ลงโทษชาวบ้านที่ผูกผ้าขาวไม่ผูกผ้าสีฟ้าด้วยข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับรัสเซีย”..คนที่ทั้งโลกก็รู้ว่าใคร แต่สื่อตะวันตก และสื่อไทยกลับไม่รู้”
Exit mobile version